บทที่ 25 : ขอทานน้อย


ไม่มีเสียงตอบรับใดๆมาจากข้างใน !


คิ้วของเขาขมวดด้วยความหงุดหงิด หลิงเทียนพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลง


แต่ก็ยังคงไม่มีการตอบสนอง


หลิงเทียนเริ่มที่จะหมดความอดทน ตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจ้าแล้ว มันไม่สำคัญกับเจ้าอีกแล้วถึงต่อให้ข้าเป็นหนึ่งในคนที่จะมาจับกุมเจ้าก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วเจ้าไม่สามารถหนีไปได้ตลอดเวลา ! ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรที่จะเดินออกมาอย่างภาคภูมิใจ เจ้าคิดหรือว่าการซ่อนอยู่ข้างในเฉกเช่นเต่าหดอยู่ในกระดองแบบนี้มันจะช่วยให้เจ้าปลอดภัย ? ;


หลิงเทียนก้าวไปข้างหน้าก่อนจะเตะกองหญ้าสูงที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะด้วยความแรง


 “ ฮึ้ยยะ ! ” ด้วยแรงเตะของหลิงเทียน กองหญ้าและกองหิมะที่ปกคลุมอยู่ก็กระเด็นไปไกล เผยให้เห็นร่างเล็กๆนอนคุดคู้อยู่ นี่แน่นอนว่าคือขอทานที่วิ่งหนีออกมาจากเมืองเพื่อรักษาชีวิตของตนที่หลิงเทียนได้พบเจอก่อนหน้านี้ !


หลิงเทียนขมวดคิ้ว หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของหลิงเทียนแต่ขอทานน้อยผู้นี้ยังคงขดตัวอยู่บนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหวใดๆ ! หลิงเทียนลองเข้าไปดูใกล้ๆก็พลันยิ้มเยาะเย้ยออกมา ; กลายเป็นว่าเจ้าเด็กบ้านี่ดันหมดสติไปแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงได้ยินเสียงลมหายใจที่ดูแผ่วเบา ; เมื่อเห็นว่าเจ้าขอทานน้อยคนนี้กำลังตกอยู่ในอาการที่ไม่ค่อยจะดีและมีสิทธิที่จะตายได้หากมันยังคงนอนอยู่อย่างนี้


หลิงเทียนเหยียดมือขวาของเขาออกไปแตะบนหน้าผากของขอทานน้อย ฮืม มันร้อนจนน่ากลัวเลย ดูเหมือนว่ามันจะมีไข้สูง แบบนี้ชักจะเป็นปัญหาแล้วสิ ; หลิงเทียนคิดถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากโลกก่อนเพื่อที่จะใช้รักษาอาการไข้ แต่หลังจากที่ผ่านมาทั้งหมด เขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหานี้ได้เลย.


พอแตะที่ศีรษะของขอทานน้อย หลิงเทียนก็ได้ข้อสรุปว่าเขาคงจำเป็นต้องใช้มาตรการขั้นรุนแรงเพื่อที่จะปลุกขอทานน้อยนี้ขึ้นมา เขาหยิบกองหิมะข้างๆตัวก่อนจะเอาบีบมันเพื่อปั้นให้เป็นก้อนก่อนที่จะใช้มันเพื่อเช็ดใบหน้าของขอทานน้อย ภายใต้การถูกกระตุ้นจากความเย็น ขอทานน้อยร้องออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ


หลิงเทียนปั้นก้อนหิมะเพิ่มขึ้นก่อนจะถูไปทั่วร่างกายของมันและเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ใช้มันถูบนผิวอันหยาบกร้านของขอทานน้อยไปทั่วทั้งตัว กระทั่งหลิงเทียนยังรู้สึกเลยว่าหิมะที่อยู่ในมือของเขาอุ่นขึ้นจนแทบจะละลาย !


นี่เป็นวิธีที่อาจเรียกได้ว่าหยาบเกินไป แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเป็นโรคหนาวเหน็บนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้รักษาพวกเขา ในขณะที่ขอทานน้อยนั้นกำลังถูกความหนาวเหน็บกัดเซาะไปทั่วร่างกาย หลังจากนั้นเขาก็จับไข้เพราะความหนาวเย็น หลิงเทียนมีความมั่นใจว่าวิธีนี้คงจะพอช่วยเขาได้บ้าง


หลังจากเสียงคร่ำครวญดังออกมาจากลำคอของขอทานน้อย เขาก็ค่อยๆเปิดตาขึ้น แต่เมมื่อเขาเห็นหลิงเทียนเขาก็สะดุ้งพรวดด้วยความตกใจ ในสถานการณ์และสถานที่เช่นนี้ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเจอกับเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ด้วยใบหน้าที่ขาวนวลที่ดูราวกับได้รับการแต่งแต้มจากเครื่องประทิวผิว มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังฝันอยู่ !


เมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้ว หลิงเทียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยถาม “ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ตื่นขึ้นมา ? ”


ขอทานน้อยจ้องมองไปที่หลิงเทียนด้วยความว้าวุ่นใจก่อนจะตอบ “ ท่านช่วยข้าไว้ ? ” หลังจากที่พูดจบเขาก็พลันเห็นเศษกองหญ้าและหิมะที่กระจัดกระจายไปด้านข้าง สายตาของเขาจ้องไปที่หลิงเทียนอย่างระมัดระวัง “ ท่านเป็นใครกัน ? แล้วเหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ? ”


หลิงเทียนยิ้มให้เล็กน้อย “ ข้าตามเจ้ามาจากในเมือง เจ้าวิ่งได้ดี ! ”  แม้น้ำเสียงของเขาจะดูอ่อนโยนแต่มันก็แฝงไปด้วยความหยิ่งยะโสโดยธรรมชาติราวกับว่าเขาเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดบนสรวงสวรรค์ !


ขอทานน้อยตื่นตระหนกมากจนสั่นกลัวไปถึงสมองขณะที่เขาขดตัวสั่นด้วยความกลัวก่อนจะถาม “ ท่านตามข้ามาทำไม ? ท่านต้องการอะไรจากข้า ? ”


หลิงเทียนส่งเสียง หึ ในลำคอเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าเขี่ยเศษหญ้าบนพื้น “ ถ้าข้าไม่ได้ตามเจ้ามาป่านนี้เจ้าคงจะตายเพราะฤทธิ์ไข้และความหนาวเย็นไปแล้ว ”


ขอทานน้อยเชื่อในคำพูดของหลิงเทียน ด้วยสติปัญญาของเขามันไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะเข้าใจ ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าเด็กตรงหน้าซึ่งดูอายุพอๆกับเขามาเจอเขาที่นี่ เขาก็อาจจะต้องตายไปแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าจะหยุดพักสักหน่อยก่อนที่จะเดินทางต่อ แต่ใครจะรู้ว่าความอ่อนล้าและความจริงที่ว่าตัวของเขานั้นกำลังทุกข์ทรมานจากความหิวโหยจนทำให้เขาหมดสติ


หลิงเทียนตัดบทและถามตรงๆ “ ทำไมเจ้าถึงถูกพวกนั้นไล่ตาม ? เจ้าไปทำอะไรมา ? ”


เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเทียน ความเกลียดชังก็แผ่ซ่านออกมาผ่านสายตาของขอทานน้อย และอาการมึงงงจากฤทธิ์ไข้ในหัวก็พลันหายไป “ ความแค้นนี้ข้าต้องให้พวกมันชดใช้ด้วยความตาย ! ” ขอทานน้อยขบฟันแน่นเมื่อพูดประโยคนี้ ในคราแรกเขาไม่ได้ต้องการจะตอบคำถามของหลิงเทียน แต่ในใจของเขานั้นมีความเชื่อบางอย่างว่าเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาจะต้องสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ ในตอนนี้เขานั้นไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้วแถมยังถูกตามล่าอีกด้วย ถ้าหากว่าเขาไม่มีใครสักคนให้พึ่งพา ต่อให้เขาหนีไปได้อีกวันสองวันแต่สุดท้ายยังไงเขาก็ยังต้องถูกตามหาจนเจออยู่ดี ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องคิดถึงการล้างแค้นอีกเลย แต่ยังไงก็ตาม เด็กชายตรงหน้าของเขานี้อาจจะให้โอกาสกับเขา ! แต่ทว่าร่างกายที่อ่อนล้าของเขาตอนนี้ไม่สามารถยืนอยู่ได้นานนัก


หลิงเทียนโบกมือขัดจังหวะก่อน จากนั้นก็ดึงขนมปังเก่าๆสามชิ้นออกจากเสื้อคลุม “ เจ้าต้องหิวอยู่แน่ๆ กินนี่ก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องของเจ้า ”


สายตาของขอทานน้อยหดลงขณะที่เขาจ้องไปที่ขนมปังในมือของหลิงเทียนด้วยความตะกละ ปากของเขานั้นเต็มไปด้วยน้ำลายก่อนจะคว้าเอาขนมปังไว้และนั่งลงกินพวกมันด้วยความหิวกระหาย


หลังจากฟังเรื่องของขอทานน้อย หลิงเทียนก็พบว่าขอทานน้อยตรงหน้าของเขานั้นมีชื่อว่า ตู้เฟย เป็นบุตรชายของตู้หยานที่เป็นพ่อค้าอยู่ในเมือง ตระกูลของพวกเขานั้นเปิดโรงรับจำนำและถือได้ว่ามีชีวิตที่ดี แต่เมื่อเดือนที่แล้วมีคนนำอัญมณีล้ำค่ามาจำนำ เนื่องจากมุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีนั้นทำขึ้นมาจากหยกขาวทั้งหมดนอกจากนั้นยังประดับไปด้วยอัญมณีล้ำค่าเล็กๆบนพื้นผิวของมัน ทำให้ราคานั้นสูงจนประเมินค่ามิได้


แน่นอนว่าตระกูลตู้นั้นไม่มีความสามารถพอที่จะรับสินค้าที่มีมูลค่ามากเกินไปเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของเดิมของมันนั้นเป็นทายาทของตระกูลขุนนางที่ตกอับ และของสิ่งนี้ก็สิ่งมีค่าสำหรับเขาซึ่งอยู่กับเขามานานเกินไปแล้วและช่วงนี้ตระกูลของเขากำลังขาดแคลนอยู่ในช่วงทรุดโทรม จึงทำได้เพียงปล่อยมรดกของตระกูลออกไปเท่านั้น นอกจากนี้ ตระกูลที่นำมาจำนำนั้นรู้ว่าตระกูลตู้ไม่สามารถจ่ายออกไปสำหรับสมบัติล้ำค่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอราคาเพียงแค่ หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน พวกเขาขอกำหนดเวลาเส้นตายในอีกครึ่งปี ซึ่งพวกเขาจะเอาเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงินมาคืนเพื่อไถ่สมบัตินี้กลับไป


เนื่องจากตระกูลตู้มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลนี้มาเนิ่นนานแล้ว และเป็นเพราะความเห็นอกเห็นใจ ตู้หยวนจึงตัดสินใจยอมรับ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งของที่พวกเขาได้แลกเปลี่ยนกันนี้ อยู่ในการเฝ้ามองของหัวหน้าหน่วยของตึกกุหลาบโลหิต เมื่อหัวหน้าหน่วยส่งรายงานออกไป นายใหญ่ของตึกกุหลาบโลหิตก็ได้เปิดเผยความโลภของมันออกมาทันทีและส่งคนมายังตระกูลตู้ พวกมันต้องการซื้อมุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีในราคาแค่ ห้าพันตำลึง ! ตู้หยวนแน่นอนว่าไม่ยอมรับ เนื่องจากทายาทของตระกูลขุนนางที่ตกอับนี้เพียงแค่นำสมบัติชิ้นนี้มากู้เงินไปหนึ่งหมื่นตำลึงเงินและพวกเขาก็จะนำเงินมาไถ่คืนสมบัติชิ้นนี้ในภายหลัง อีกอย่าง ราคาที่แท้จริงของมุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีจะไปมีราคาเพียงห้าพันตำลึงได้อย่างไร ? แม้กระทั่งสิบเท่าของจำนวนเงินที่ว่านี้ก็ยังไม่สามารถที่จะซื้อมันได้ !


ตู้หยวนแน่นอนว่าต้องปฏิเสธมัน แต่ยังไงก็ตาม เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าการปฏิเสธในครั้งนี้จะทำให้เกิดการฆ่าล้างตระกูลของเขา ? ผู้คนทั้งหมดของตระกูลตู้นับรอยชีวิตถูกฆ่าตายอย่างเงียบๆภายในคืนเดียว ! และก็ไม่มีใครรู้ว่าใครกันที่ได้ครอบครองมุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีไป โชคยังดีที่ตู้เฟยสามารถหนีออกมาได้เพราะรูปร่างที่ผอมแห้งและดูอ่อนแอมันจึงทำให้เขาไม่ถูกเพ่งเล็ง อย่างไรก็ตามตึกกุหลาบโลหิตต้องไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน เพื่อกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตดังนั้นเขาจึงถูกคนเหล่านั้นไล่ล่าสังหาร จนกระทั่งถึงตอนนี้ตู้เฟยก็ไม่ได้กินอะไรมาแล้วถึงสามวัน !


ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ ตู้เฟยได้หลบหนีซ่อนตัวไปทั่วทุกที่ เพื่อหนีจากเงื้อมมือของเหล่ามือสังหารที่ไล่ล่าเขา


เมื่อมองอธิบายเรื่องราวของเขาแล้ว ตู้เฟยจ้องมองไปที่หลิงเทียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง ดูจากการแต่งกายของหลิงเทียน เขาต้องไม่เป็นเพียงแค่ตัวตนเล็กๆแน่นอน และตราบใดที่เขากลับไปที่ตระกูลของหลิงเทียนและพูดเกี่ยวกับสมบัติกับผู้คนในตระกูลของเขา จากนั้นตู้เฟยก็จะใช้มุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีเป็นเหยื่อล่อให้คนอื่นทำงานสกปรกให้กับเขา !


หลิงเทียนยิ้ม “ เจ้าตั้งใจจะทำอะไร ? ”


ตู้เฟยรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังลุกเป็นไฟขณะที่เขาลุกขึ้นยืนและกล่าว “ ตั้งแต่ที่นายน้อยตั้งใจจะช่วยข้าแก้แค้น เช่นนั้นข้าจะมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆเช่นมุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีให้กับนายน้อย ! ”


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลิงเทียนเพียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเท่านั้น “ หลังจากที่ข้าทำลายตึกกุหลาบโลหิต มุกกล้วยไม้หยกหมื่นปีก็ต้องเป็นของข้าอยู่แล้ว ทำไมข้ายังจำเป็นต้องให้เจ้ามอบมันให้ข้าอีกเล่า ? ในขณะข้าที่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่ฆ่าล้างตระกูลเจ้า เจ้ามีปัญญาตอบแทนแค่นี้เองหรือไร ? ”