พอหลิงเทียนนั้นประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว
เขาก็ยังไม่ได้ไปไหนไกล เขาหยิบเงินก้อนออกมาก้อนหนึ่งแล้วโยนไปที่นักพนันที่ถูกเขาเตะก่อนหน้านี้
หลังจากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและเดินไปเผชิญหน้ากับกลุ่มชายชุดดำอย่างช้าๆ
เขากระแอมสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น “ เจ้าเป็นผู้ใดถึงกล้ามาทำตัวกร่างที่นี่ ? นี่เจ้ายังเคารพกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือเปล่า ?
”
พอหลิงเทียนกล่าวจบ
ทุกคนที่อยู่ที่นี่แทบจะหน้ามืด
เพราะเด็กน้อยผู้นี้เพิ่งจะเพิกเฉยต่อกฎและทำร้ายผู้คนโดยไม่มีเหตุผล
แถมยังทุบตีจนกระทั่งฟันของชายนักพนันผู้นั้นหลุดล่วงออกจากปาก ถ้าหากคนชุดดำพวกนี้ไม่เข้ามาแล้วล่ะก็
ชายนักพนันผู้นั้นคงจะต้องตายในมือของเขาไปแล้วแต่ตอนนี้เขากลับทำว่าตัวเองนั้นบริสุทธิ์แถมยังมีหน้ามาถามว่าพวกเขาเห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาอีกหรือไม่
!
ใบหน้าของพวกชายในชุดดำนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
แต่เขาไม่กล้าที่จะขัดใจหลิงเทียน แม้ว่าเขาอยากจะตบหน้าเด็กคนนี้สักทีสองทีก็ตาม
แต่เบื้องหลังของหลิงเทียนนั้นต้องไม่ยอมอนุญาตให้เขาทำแบบนั้นแน่ ดังนั้น
เขาจึงทำได้แค่ป้องมือแสดงความเคารพก่อนจะพูด “ รายงานนายน้อยหลิง พวกเรานั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตึกกุหลาบโลหิต
พวกเราได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองเพื่อจัดการเรื่องบางอย่างและพวกเราก็ไม่รู้ว่านายน้อยอยู่ที่นี่และเผลอไปทำลายความสนุกของท่าน
ผู้น้อยต้องขออภัยสำหรับเรื่องนี้ ”
หลิงเทียนพลันอุทานออกมา “ โอ้ ” และแสร้งทำเป็นว่าเขาสนใจ
“ พวกเจ้ากำลังจะไปทำอะไร ? ไหนลองบอกนายน้อยผู้นี้สิ
”
ชายชุดดำผู้นี้แทบอยากจะบ้าก่อนจะคิดกับตัวเอง
; ไอ้เด็กเวรนี่ ! ข้าไม่รู้จะทำเยี่ยงไรแล้ว
; เขาทำได้เพียงเผยสีหน้าที่ดูลำบากใจออกมาเท่านั้น “
ข้าหวังว่านายน้อยจะเข้าใจ
เรื่องนี้เป็นความลับของตึกกุหลาบโลหิตและผู้น้อยไม่สามารถแพร่งพรายได้ ”
หลิงเทียนหัวเราะเบาๆ “ เจ้ากำลังหมายความว่าเจ้าจะไม่บอกข้า ? ”
เหงื่อเริ่มหยุดลงบนหน้าผากของชายชุดดำคนนี้ก่อนจะตอบไปว่า
“ มันไม่ใช่เช่นนั้นแต่เป็นเพราะข้าไม่สามารถบอกได้
ข้าเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น สถานะของข้านั้นค่อนข้างต่ำ . เกี่ยวกับเรื่องนี้… ”
หลิงเทียนพลันหัวเราะอีกครั้งขณะที่ใบหน้าของเขานั้นดูเป็นกันเองขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างใจกว้าง
“ ในเมื่อมันไม่สะดวกที่พวกเจ้าจะบอกกล่าวแก่ข้า
เช่นนั้นก็ลืมมันไปซะเถอะ นายน้อยผู้นี้ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นสักเท่าไร เอาล่ะ
จงไปและทำงานของพวกเจ้าเถอะ นายน้อยผู้นี้จะไม่ถ่วงเวลาพวกเจ้า ”
เหล่าชายในชุดดำนั้นสาปแช่งหลิงเทียนอยู่ในใจ
; มารดามันสิ ! นี่หรือที่เรียกว่าไม่อยากรู้อยากเห็น
! นี่หรือที่เรียกว่าไม่ถ่วงเวลาเรา ! แล้วตอนที่เจ้าหยุดพวกเราเล่า…ใครจะรู้ว่าเจ้าจะเป็นตัวบัดซบเช่นนี้ ! ; แต่อย่างไรก็ตาม
เขาไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีที่ไม่พอใจใดๆออกมาก่อนจะตอบกลับอย่างสุภาพ “ ขอบคุณมากนายน้อย เช่นนั้นพวกเราขอตัว ! ”
หลิงเทียนเพียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
เหล่าชายชุดดำก็วิ่งผ่านฝูงชนและดำเนินการไล่ล่าต่อไป
หลิงเทียนช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
หลังจากที่เขาหยุดตั้งใจชะลอเวลาของพวกมัน
ทุกคนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตามไปจับเด็กคนก่อนหน้ากลับมาได้อีกครั้ง
! แต่พวกมันก็เลือกที่จะยังไม่ยอมแพ้และยังคงตามล่าต่อไป
! เพราะเด็กชายผู้ที่พวกเขากำลังตามจับกลับมานั้นเห็นได้ชัดว่าอายุเพียงเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น
!
หลิงเทียนพลันลูบคางเบาๆก่อนจะคิดกับตัวเอง
“ อย่าบอกข้าว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น ?
” หลิงเทียนเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
ครู่ต่อมา
หลิงเทียนช่วยไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเองในความโง่เขลา ! ขณะนี้หิมะนั้นตกหนักมาก
มันไม่สำคัญเลยว่าเด็กชายผู้นั้นจะไม่สามารถออกจากเมืองไปได้
แต่ถึงเขาสามารถออกจากเมือง เพียงแค่รอยเท้าที่ปรากฏบนพื้นก็เพียงพอแล้วที่จะค้นหาเขา
!
หลิงเทียนรู้สึกสนใจในตัวเด็กชายที่วิ่งหนีเพราะเหตุผลเดียว : เพราะใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวในขณะที่มันกัดฟันหนี
นอกจากนั้น มันเป็นเพราะการควบคุมการเคลื่อนไหวของทุกส่วนของร่างกายได้ดีเมื่อตอนที่มันได้แสดงให้หลิงเทียนได้เห็นในตอนที่มันหลบหนี
การหลบหนีที่ดูสิ้นหวังของมันนั้นได้ย้ำเตือนความรู้สึกหมดหวังที่หลิงเทียนเคยเผชิญในชาติก่อน
หลังจากยืนคิดอยู่พักหนึ่ง , หลิงเทียนก็ตัดสินใจที่จะไปดู
เขาหันหลังกับมามองที่คนรับใช้ทั้งสองคนที่ตามเขามาก่อนจะพูด “ พวกเจ้าทั้งสองกลับไปก่อน ถ้าท่านปู่ถามหาข้าก็บอกไปว่าเดี๋ยวข้าจะกลับไปเองทีหลัง
”
คนรับใช้ทั้งสองนั้นรู้สึกตกใจก่อนจะพูด
“ นายน้อยได้โปรด , พวกข้าไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น
ได้โปรดพาพวกข้าไปด้วย ”
สายตาของหลิงเทียนพลันหดลง
“ ตั้งแต่ที่ข้าบอกให้พวกเจ้ากลับไป
พวกเจ้าทั้งสองก็ต้องกลับ. ทำไม ?
เจ้าไม่ต้องการฟังคำสั่งข้า ? ” ความเย็นชาในน้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยคำขู่
ทั้งสองนั้นตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
! ถ้าหากพวกเขาไม่ฟังคำสั่งของหลิงเทียน , นายน้อยผู้นี้จะต้องโกรธมาก
หลิงเทียนนั้นเป็นคนที่กล้าแม้กระทั่งทุบตีหลิงเฉิน
ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตนเอง ; ถ้าหากพวกเขาไม่ฟังคำสั่งนายน้อยผู้นี้แล้วล่ะก็
, พวกเขาแน่นอนว่าอาจจะพบจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าหลิงเฉิน . แต่ถ้าพวกเขาทั้งสองกลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหลิงเทียนล่ะก็
ต่อให้พวกเขามีร้อยชีวิตก็คงไม่เพียงพอ !
ทั้งคู่มองหน้ากันและกันก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่
“ นายน้อย พวกเรายินดีที่จะยอมรับการลงโทษจากท่าน
แต่พวกเราจะไม่กลับไปโดยไม่มีท่าน . ได้โปรดอภัยให้พวกเราด้วยนายน้อย
”
หลิงเทียนพูดไม่ออก
เมื่อมองไปที่ตัวเองที่ร่างกายยังอายุเพียงห้าปี
เขาก็เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้พวกมันกลับไปด้วยตัวเอง . ‘ ไม่มีทางเลือก ’ ,
เขาทำได้เพียงแค่พูด “ ก็ได้
เช่นนั้นก็ตามข้ามาถ้าพวกเจ้าต้องการ แต่ข้าต้องบอกพวกเจ้าให้ชัดเจนก่อนอันดับแรก
ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถตามข้าได้ทัน เช่นนั้นก็ไปหาที่อยู่ที่ใกล้กับประตูคฤหาสน์และรอข้ากลับมา
”
ทั้งสองคนเห็นด้วยทันที
หลังจากนั้นไม่นาน
คนรับใช้ทั้งสองใช้มือทั้งสองข้างยันเข่าเพื่อไม่ให้ล้มลงและหอบอย่างหนัก
ใบหน้าของพวกเขานั้นแดงซ่านและเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ฝั่งของหลิงเทียน
เขานั้นหายไปจากระยะสายตาของทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
มองไปยังฝูงชนที่ดูคึกคักเบื้องหน้าของพวกเขา
พวกเขาทั้งสองไม่สามารถช่วยได้ที่จะรู้สึกสูญเสีย
หนึ่งในพวกเขาพักฟื้นจนหายเหนื่อยและค่อยๆหายใจอย่างช้าๆ
เขาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ ข้าขอพูดนะพี่สอง
นายน้อยของพวกเรานั้นแปลกมาก ”
คนรับใช้อีกคนหนึ่งก็ใช้มือปาดเหงื่อก่อนจะพูด
“ เห็นด้วย ข้าไม่เคยเจอเด็กอายุห้าปีที่วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายที่ไหนมาก่อนเลย
ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ นายน้อยวิ่งตรงไปทางประตูเมือง
เช่นนั้นพวกเราก็ไปรอเขาอยู่ที่นั่น ”
หลิงเทียนหลีกเลี่ยงผ่านฝูงชนราวกับว่าเขากำลังเดินเล่น
ด้วยร่างเล็กๆของเขา เขาสามารถวิ่งผ่านไปอย่างง่ายดายโดยที่ไม่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ในด้านหน้ามองเห็นเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำ
พวกเขาอยู่ที่ประตูเมืองและรอที่จะออกไป
มันดูเหมือนว่าเด็กชายคนนั้นได้ออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ . หลิงเทียนคิดเช่นนั้น
หลิงเทียนรู้สึกผิดหวัง ; ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้
มันคล้ายกับว่าเขากำลังหาที่ตายถ้าหากว่าเขาออกจากเมืองไป ! ด้วยสติปัญญาของเขา
หลิงเทียนรู้ว่าเขาเริ่มหัวร้อน
เจ้าเด็กนั่น ! นี่มันคุ้มค่ากับการพยายามของข้าหรือไม่ ?
หลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ ; ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มเรื่องแล้ว ข้าก็ต้องไปต่อให้จบ
ด้วยส่วนตัวของหลิงเทียนนั้นเขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆและยอมแพ้อะไรง่ายๆ
พอคิดเรื่องนี้ หลิงเทียนเดินต่อไปยังประตูเมือง
มองไปที่ชุดที่ดูหรูหราของหลิงเทียนและกลิ่นอายที่หยิ่งยโสราวกับลูกคุณหนู
ยามที่เฝ้าประตูเมืองนั้นเลยไม่กล้าที่จะหยุดเขาและปล่อยเขาออกไปทันที
หลังจากที่ออกจากเมืองแล้ว
เขาก็เห็นท้องทะเลที่ขาวเบื้องหน้า [
TL : ทะเลหิมะ ]
จุดสีดำหลายจุดวิ่งไปในเส้นทางเดียวกัน
พวกเขาเป็นชายฉกรรจ์ในชุดดำนั่นเอง
ในทิศทางนั้นมันดูเหมือนว่ามีควันลอยขึ้นมาจากที่ไกลและมีป่าอยู่ในเส้นทางข้างหน้า
เมื่อหลิงเทียนมองไปยังขอบฟ้า
เขาถามกับตัวเอง “ ถ้าหากข้าถูกไล่ล่า
ข้าจะเลือกเส้นทางที่สามารถเข้าออกได้ง่ายเช่นนั้นหรือ ? ” คำตอบมันแน่นอนอยู่แล้ว
: คือไม่ !
หลิงเทียนได้สังเกตรอยเท้ามากมายตั้งแต่ออกมาจากประตูเมืองอย่างรอบคอบและตระหนักได้ว่า
จำนวนรอยเท้าในทุกทิศทางนั้นมีขนาดเท่าๆกันแต่กลับปราศจากรอยเท้าที่ของเด็ก
หลิงเทียนคิดอยู่สักพักก่อนจะเดินไปเบื้องหน้า
จากนั้น ด้วยตำแหน่งที่เขายืนอยู่เขาหันหัวไปมองรอบๆเพื่อดูสภาพแวดล้อมเบื้องหน้า
หลังจากที่เขาเดินมาถึงที่นี่รอยเท้าจากประตูก็กระจัดกระจายอย่างชัดเจนมากกว่าที่ก่อนหน้านี้
ขณะที่หลิงเทียนมองไปใกล้ๆ เขาก็ยังไม่สามารถหารอยเท้าเล็กๆได้เลย
หลิงเทียนหัวเราะอยู่ในใจ
. เจ้าเด็กคนนี้น่าสนใจยิ่ง !