หลังจากการลาดตระเวนไปที่ตึกฝั่งตะวันตกในคืนนี้
หลิงเทียนก็รู้สึกว่าการเก็บเกี่ยวของเขาในคืนนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก นอกจากนี้
นี่ยังถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาออกไปสอดแนมเกี่ยวกับผู้คน
และเมื่อเขาได้รับข่าวเช่นนี้มาจึงทำให้เขาพอใจอย่างมาก หลิงเทียนช่วยไม่ได้ที่จะจินตนาการอยู่ในใจว่า
“ อย่าบอกข้านะว่าทุกคนที่สามารถข้ามผ่านมาโลกนี้ได้มักจะโชคดี
? นี่ข้าแค่ลาดตระเวนแบบง่ายๆสบายๆก็ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญง่ายแบบนี้เลยรึ ?
”
ที่จริงแล้วจุดสำคัญมันอยู่ที่เวลาที่หลิงเทียนออกไปนั้นเหมาะเจาะมาก
! ประการแรกเลยคือหลิงเฉินนั้นเพิ่งจะถูกทุบตีโดยไร้เหตุผลดังนั้นมันจึงสั่งสมความเกลียดชังต่อหลิงเทียนมาไม่น้อยอยู่ในใจ
! ประการที่สองก็เป็นเพราะว่าหลิงคงนั้นเห็นสภาพอันน่าอนาถของบุตรชายจึงต้องการปลอบใจมัน
และเมื่อหลิงเทียนเลือกเวลาได้ดี
เขาจึงได้รับรู้เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาเองก็เห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องที่หลิงคงและบุตรชายนั้นพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องชั่วร้ายไร้ยางอายที่สามารถทำให้บิดาและบุตรคู่นี้ตกตายโดยไร้ที่กลบฝังได้
! ด้วยเหตุนี้พวกมันทั้งสองจึงจำเป็นต้องระวัง
พวกมันจึงเลือกที่จะสนทนาเรื่องพวกนี้เฉพาะช่วงกลางดึกที่เงียบสงัดเท่านั้น
ดังนั้นหลิงเทียนจึงวางแผนและกำหนดเวลาได้แม่นยำ
; เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่บุตรและบิดาคู่นี้เริ่มเปิดม่านสนทนาเรื่องเลวทรามของพวกมัน
, หลิงเทียนก็ได้คืบคลานเข้ามาอยู่บนหลังคาบ้านของพวกมันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ
หลิงเทียนได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ข่าวใหญ่ที่เขาได้รับได้วันนี้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าบุตรและบิดาคู่นี่ไม่ได้มีเจตนาที่ดีต่อตระกูลของเขาจนถึงจุดที่ว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้หลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์ที่ได้แต่งงานกันมานานแล้วแต่ก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้สักที…เพราะทุกอย่างมันเป็นแผนการของหลิงคง !
นอกจากนี้
หลิงเทียนก็ได้ตระหนักว่าหลิงคงนั้นได้วางแผนและอยู่เบื้องหลังของเหตุการณนี้มานานกว่าทศวรรษ
โดยเริ่มมุ่งมั่นที่จะควบคุมธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับตระกูลหลิง
!
ฟาร์มปศุสัตว์ทางตะวันตกเชียงเหนือซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในรายได้หลักของตระกูลหลิงก็ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของหลิงคงแล้วในตอนนี้
! ถ้าหากว่าหลิงเทียนเคลื่อนไหวโดยไม่รอบคอบล่ะก็
เพียงแค่เสาหลักต้นนี้ต้นเดียวที่หลิงคงควบคุมอยู่ก็สามารถทำให้ตระกูลหลิงกระโดดลงเหวเข้าไปสู่ความวุ่นวายได้
!
ทั้งหลิงคงและบุตรนั้นได้แอบซ่อนเจตนาที่ชั่วร้ายไว้
พวกมันวางแผนที่จะควบคุมเส้นทางธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหลิงอยู่ลับๆและรวมไปถึงการทำร้ายชูถิงเอ๋อร์
! บุตรและบิดาคู่นี้นั้นต้องจ่ายผลจากการกระทำของพวกมันด้วยความตาย
! อย่างไรก็ตาม
หลิงเทียนรู้ว่าช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมที่จะเปิดโปงพวกมัน
โดยเฉพาะการเปิดเผยสายลับเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้คำสั่งของหลิงคงและจับพวกมันทั้งหมดให้ได้ภายในคราวเดียวนั้นต้องทำเป็นอย่างแรก
เขาจึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงใดๆก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นี่เป็นทางที่ดีที่สุดก่อนจะเริ่มทำเรื่องต่างๆ
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของหลิงเทียน
หากต้องการที่จะให้หลิงคงและบุตรของมันนั้นหายไปจากโลกนี้โดยปราศจากร่องรอยนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายราวกับกระดิกนิ้ว
แต่หากทำแบบนั้นสายลับที่ถูกควบคุมโดยหลิงคงและเหล่าผู้คนที่สมรู้ร่วมคิดกับพวกมันในการทรยศตระกูลนั้นจะรู้ตัวและรวมหัวกันและแน่นอนว่าต่อให้เขาจับพวกมันได้ในภายหลังพวกมันก็จะไม่มีทางยอมรับการกระทำของตัวพวกมันเองแน่
ดังนั้น มันจึงไม่ง่ายที่จะจัดการพวกมันพร้อมกันทั้งหมด !
นอกจากนี้ สิ่งแรกเลยก็คือต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาของหลิงซาน
; ท้ายที่สุดแล้ว หลิงคงนั้นก็เป็นบุตรบุญธรรมของเขา
ดังนั้น ถ้าหากหลิงเทียนจัดการโดยปราศจากหลักฐาน
ปู่ของเขานั้นจะต้องโกรธโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อคิดถึงจุดนี้
หลิงเทียนเพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา ; ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะปล่อยหมูที่รอเชือดไว้ก่อนก็แล้วกัน
ไม่ช้าก็เร็วชีวิตของพวกเจ้ายังไงก็ต้องจบด้วยมือของข้า ! ตั้งแต่ที่ข้าไม่สามารถซ่อนตัวเองจากพวกเจ้าเพราะเหตุการณ์ในวันนี้
อย่างนั้นข้าก็จะทำราวกับว่าข้านั้นได้รับของเล่นใหม่เพิ่มมาอีกสองชิ้น !
ทันทีที่วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากหลิงเทียนนั้นทานอาหารเสร็จเขาก็ได้เดินตรงไปยังห้องศึกษา
ปรมาจารย์ฉินนั้นสวมชุดนักปราชญ์สีเขียวในวันนี้
เขายืนอยู่ที่ประตูและมองดูร่างเล็กๆของหลิงเทียนที่ค่อยๆเดินเข้ามาทางเขา ความซับซ้อนปรากฏขึ้นในตาของเขา
เป็นธรรมดาที่วันนี้จะมีเฉพาะหลิงเทียนเท่านั้นที่มารับบทเรียนในวันนี้
แม้ว่าจะมีใครขู่ว่าจะตีหลิงเฉินให้ตาย
เขาก็จะไม่มีทางมาศึกษาอยู่ห้องเดียวกับหลิงเทียนอีกครั้งแน่นอน
เรื่องที่หลิงเฉินไม่มาเรียนในวันนี้นั้นหลิงเทียนไม่ได้แยแสเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขาคาดหวังในเรื่องนี้มาแล้ว
ปรมาจารย์ฉินได้แอบคาดเดาลักษณะนิสัยของศิษย์ผู้นี้ของเขาและพบว่าเด็กผู้นี้ยิ่งค้นหาก็ยิ่งลึกลับขึ้นไปเรื่อยๆ
ขณะที่อายุยังน้อย
แต่การกระทำของหลิงเทียนนั้นโหดเหี้ยมยังไม่พอความฉลาดของเขานั้นเป็นของจริงและสติปัญญาเช่นนี้หายากนักในระดับอายุเช่นนี้
แต่อย่างไรก็ตาม
เขานั้นเป็นคนดื้อรั้นและแข็งกร้าวแถมชอบที่จะทำตามใจของตัวเขาเองเท่านั้น
นี่เป็นความรู้สึกที่ปรมาจารย์ฉินได้รับจากการคาดการณ์ศิษย์คนนี้ในเหตุการณ์ที่ผ่านมา
มองเห็นหลิงเทียนนั่งลงอย่างเรียบร้อยและทำหน้าราวกับว่าโลกกำลังจะแตก
ปรมาจารย์ฉินพลันรู้ว่าราวกับว่าหลิงเทียนนั้นเข้ามาในห้องเรียนนี้และเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว
วิธีการปกติที่เขาใช้สอนในขั้นตอนแรกก็คือการพูดถึงข้อดีต่างๆเบื้องหลังการเรียนรู้
เพื่อกระตุ้นให้ศิษย์ของเขาตั้งใจเรียนให้หนักขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
การเผชิญหน้ากับนายน้อยผู้นี้
ปรมาจารย์ฉินรู้สึกว่าเขาควรประหยัดน้ำลายด้วยการการกำจัดคำพูดไร้สาระออกไปให้หมด…
ปรมาจารย์ฉินไขว้มือไวข้างหลังและยืดตัวตรงก่อนจะพูด
“ สำหรับบทเรียนแรก
ตาแก่ผู้นี้จะสอนเจ้าเกี่ยวกับเรื่องมารยาท นับจากอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน
มารยาทนั้นไม่เคยถูกมองข้ามและเป็นที่รู้กันและเชื่อมั่นอย่างกว้างขวางว่าการจะเป็นคนที่ดีนั้นต้องมีมารยาท
และมารยาทเป็นสิ่งแรกของอีกหลา… ”
ปรมาจารย์ฉินพร่ำสอนต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก
หลิงเทียนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดปรมาจารย์เฒ่าผู้นี้ถึงต้องเริ่มพูดเกี่ยวกับมารยาทในบทเรียนครั้งแรก
นั่นก็เพราะสิ่งที่เขาเอาแต่ใจตนเองเมื่อวานนี้บวกกับความจริงที่ว่าเขาได้รังแกลูกพี่ลูกน้องของตน , หลิงเฉิน , เนื่องจากความไร้เหตุผลของเขาเมื่อวาน
ดังนั้นตาแก่ผู้นี้จึงตัดสินใจที่จะพยายามและแนะนำเขาให้กลับเข้าสู่เส้นทางที่ดีและถูกต้องจากคำสอนเหล่านี้
พอคิดไปคิดมา ความหงุดหงิดของหลิงเทียนก็เริ่มสงบลงและใจเย็นขึ้น
แม้ว่าตาแก่ผู้นี้จะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในคำพูดของเขาเมื่อก่อนหน้า
แต่ความพยายามและความทุ่มเทของเขาก็ทำให้หลิงเทียนนับถือ
มันอาจจะเห็นได้ว่าถึงแม้ปรมาจารย์ฉินนั้นจะเป็นคนที่เข้มงวดและเคร่งประเพณีมากเกินไปโดยธรรมชาติแต่เขาก็ยังคงมีชื่อเสียงและสมกับเป็นนักปราชญ์ที่ชอบเรียนรู้
ในใจของหลิงเทียนพลันอบอุ่นขึ้นและเขาก็ตัดสินใจที่จะตั้งใจฟังบทเรียนนี้อย่างจริงจังสักครั้ง
สำหรับปรมาจารย์ฉินนั้น
เขาพูดไม่หยุดมาได้สักพักใหญ่แล้ว
จนกระทั่งถึงจุดที่สะเก็ดน้ำลายของเขาสามารถบินออกจากปากเขาราวกับห่าฝนไปทั่วทุกๆที่ในห้อง
แต่เขาก็ยังคงไม่ลดความเร็วในการพูดของเขาลง ใบหน้าหลิงเทียนนั้นบิดเบี้ยวเพราะเขาแทบจะอดกลั้นที่จะหัวเราะออกมาไม่ไหว
นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นแผนที่มีไว้โจมตีความมั่นใจของเขา
และถ้าหากเขาคาดเดาได้ถูกต้อง
ตาแก่ผู้นี้ต้องกำลังเตรียมพร้อมที่จำกระหน่ำยิงเขาด้วยคำถามเป็นแน่
ต่อมา
เมื่อชายชราปิดหนังสือบนมือของเขา เขาก็หันหน้ามาและเอ่ยถาม “ เอาล่ะ ข้าสอนอะไรไปบ้างก่อนหน้านี้ เจ้าจำมันได้ไหม ? ”
หลิงเทียนพลันหัวเราะภายในทันที
; และแล้วเขาก็ทำอย่างที่ข้าคิดไว้ ! นี่มันถอดแบบมาจากโลกก่อนเลยนี่ ; [ TL : อารมณ์ประมาณอาจารย์สอนเลกเชอร์แล้วถามว่ามีใครไม่เข้าใจตรงไหนมั้ย
? ทั้งๆที่พูดตามหนังสือเป๊ะๆ 555+ ] หลิงเทียนตอบด้วยใบหน้าที่เคารพ
“ เมื่อกี้ ท่านพูดว่า , นับจากอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน
มารยาทนั้นไม่เคยถูกมองข้ามและเป็นที่รู้กันและเชื่อมั่นอย่างกว้างขวางว่าการจะเป็นคนที่ดีนั้นต้องมีมารยาท
และมารยาทเป็นสิ่งแรกของอีกหลาย… ”
จากนั้นปากเล็กๆของหลิงเทียนก็พร่ำคำพูดออกมาโดยไม่หยุดหย่อน
คำพูดของปรมาจารย์ฉินที่พูดก่อนหน้านี้ไหลออกมาจากปากของเขาโดยไม่มีผิดและแตกต่างแม้แต่คำพูดเดียว
ปรมาจารย์ฉินรู้จมอยู่ในอาการตกใจ
! นิ้วของเขาชี้ไปที่หลิงเทียน
ปากของเขาอ้าออกราวกับจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่สามารถพูดมันออกไปได้
สายตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความตื่นตกใจอย่างสุดขีด
แต่อย่างไรก็ตามมันก็กินเวลาไปเพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะกลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
!
สำหรับผู้เรียนที่จะหาอาจารย์ที่ดีนั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก
แต่สำหรับอาจารย์ที่จะหาศิษย์ที่ดีนั้นหายากกว่าหลายเท่า !
ความยากลำบากนั้นสามารถอธิบายได้เลยว่าราวกับว่าผู้เชี่ยวชาญด้านอาชาได้เห็นฝูงม้าที่อยู่ห่างนับพันไมล์
. ปรมาจารย์ฉินเดิมทีแล้วคิดว่าตระกูลหลิงนั้นมีแววและดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จมากมายในอนาคต
ธุรกิจของตระกูลก็เฟื่องฟูอย่างมากในตอนนี้
มันเป็นเพียงแค่เรื่องของสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาได้เข้ามาสอนที่นี่ ,
ความประทับใจครั้งแรกที่ได้เจอกับหลิงเทียนเมื่อวานนี้ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพอได้ทดสอบเขาวันนี้ เขากลับได้พบเพชรเม็ดงามล้ำค่าที่หายาก
หลิงเทียนนั้นฉลาดมากจนแทบจะบอกได้เลยว่าถ้าหากเขาบอกว่าตัวเองเป็นสองก็คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่หนึ่ง
ด้วยความทรงจำที่ดีเช่นนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการที่เขาสามารถจดจำคำพูดทุกประโยคเพียงแค่ฟังเพียงครั้งเดียว
ปรมาจารย์ฉินเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
เมื่อมองเห็นใบหน้าอันปลื้มปิติของปรมาจารย์ฉิน
, หลิงเทียนก็รู้สึกดีใจและช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดกับตัวเองว่า
;
ดูเหมือนว่าการข้ามผ่านมายังโลกนี้นั้นจะได้รับประโยชน์มากกว่าที่คิด
ไม่แปลกใจเลยที่นิยายจำพวกนี้มักจะเขียนเกี่ยวกับผู้คนที่ข้ามผ่านไปยังต่างโลกและยังมีความทรงจำที่ไร้ที่ติ
ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงหลายส่วนเลย อย่างน้อยก็สำหรับข้า , ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี่จะเป็นตัวอย่างอ้างอิงที่ดี ?
ปรมาจารย์ฉินเผยความรู้สึกพึงพอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
เขาลูบเคราของตัวเองพร้อมกับยิ้มกว้างซะจนดวงตาของเขาเล็กลงไป “ เทียนเอ๋อ เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่ได้รับประทานมาจากสวรรค์เป็นแน่
หากว่าข้าได้สั่งสอนและแนะนำเจ้าตัวต่อตัวไปอีกห้าปีล่ะก็
ข้าเกรงว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะต้องจับเจ้าตรึงไว้กับอาณาจักรและเจ้าจะต้องได้รับบทบาทที่ยิ่งใหญ่แน่นอน
! ” พอพูดถึงจุดนี้ เขาก็พลันรู้สึกราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องไร้สาระเพราะคนที่เขากำลังพูดด้วยอยู่นี้เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของจอมพลผู้ยิ่งใหญ่หลิงเซียวแถมยังเป็นหลานของนายใหญ่ของตระกูลหลิงและเป็นหลานชายของพระสนมอีกด้วย
; ถ้าหากเขาไม่มีบทบาทสำคัญเมื่อเขาเข้าร่วมกับราชวงศ์แบบนั้นมันก็คงจะแปลกและเหลือเชื่อเกินไป
ด้วยหัวใจของเขาที่เต็มไปด้วยความยินดี
เขาก็ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกชื่อของหลิงเทียนไปเป็น
“เทียนเอ๋อ” ไปแล้ว
ปรากฏรอยยิ้มที่ดูขี้เล่นบนหน้าของหลิงเทียนก่อนจะตอบ
“ เทียนเอ๋อรับรู้ถึงจิตใจและความพยายามของท่านนะ
และรู้ดีว่ามีเพียงการร่ำเรียนอย่างจริงจังเท่านั้นที่ข้าจะสามารถตอบแทนในความพยายามของท่านที่สอนข้าโดยไม่สนใจถึงชื่อเสียงของท่าน
”
ปรมาจารย์ฉินรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเทียนและเหลือบมองไปที่เขาด้วยความสนใจก่อนจะถาม
“ ไหนบอกให้ข้าฟัง อาจารย์ประเภทไหนกันที่เจ้าถึงจะรู้สึกเคารพ
? ” เขาเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก
เมื่อเห็นคนที่อายุน้อยพียงเท่านี้แต่กลับได้รับพรจากสวรรค์ให้มีความทรงจำที่สุดยอดและหาได้ยากมากในโลกใบนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเช่นนี้ แต่ปรมาจารย์ฉินก็ยังคงเต็มไปด้วยความคาดหวังในคำตอบที่หลิงเทียนจะให้
บนใบหน้าของหลิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยรอยสิ้นแห่งสติปัญญาในขณะที่เขาพูด
“ เทียนเอ๋อร์เคยได้ยินมาครั้งหนึ่งว่าโดยปกแล้วเมื่อท่านปรมาจารย์ต้องการสอนลูกศิษย์
ท่านมักจะเริ่มต้นจากการให้พวกเขาทำความคุ้นเคยกับคำต่างๆผ่านหนังสือสี่เล่มและห้าพระสูตร
[ TL : พระสูตรคือพระสุตตันตปิฎก เป็นพระธรรมเทศนาครับ ] แต่อย่างไรก็ตามเมื่อท่านเริ่มบทเรียนในวันนี้ ท่านกลับเริ่มจากการพูดถึงเรื่องมารยาท
นั่นก็แปลว่ามันมีความหมายอื่นแฝงอยู่ ”
ตอนนี้ ปรมาจารย์ฉินไม่สามารถหยุดคลื่นที่กระทบกันอย่างรุนแรงภายในหัวใจของเขาได้
ในขณะที่เขาคิด ; เป็นไปได้ด้วยงั้นหรือที่จะมีอัจฉริยะแบบนี้อยู่บนโลก
? เขาเพียงแค่ถามต่อไป “ ถ้าอย่างนั้น ,
เจ้าคิดว่าข้าแฝงอะไรไว้ในคำสอนเหล่านี้ ? ”
หลิงเทียนยืดแขนขาผ่อนคลายก่อนจะพูดต่อ
“ ข้าคิดว่าท่านต้องได้เห็นข้าดื้อรั้นและแม้กระทั่งทุบตีคนที่ดูไร้เดียงสาไปเมื่อวานนี้
ดังนั้นท่านจึงสรุปว่าที่ผ่านมาข้านั้นไม่ได้รับการสั่งสอนมาอยากถูกต้องและด้วยเหตุนี้ท่านจึงตัดสินใจพูดเกี่ยวกับมารยาทและสมบัติผู้ดีในบทเรียนเพื่อเปลี่ยนความคิดของข้า…”
หัวใจปรมาจารย์ฉินแทบจะหยุดเต้นโดยทันที
! ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้างจนพวกมันดูเหมือนกับจานรองแก้วราวกับว่าเขาเพิ่งจะเจอกับภูตผีปีศาจ
!
หลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยระเบิดลูกต่อไปออกมา
“ ตอนที่ข้าได้เจอกับท่านเมื่อวานนี้
เทียนเอ๋อก็พบว่าท่านนั้นเป็นคนที่ซื่อตรงและน่าเชื่อถือ
นอกจากที่ว่านี้ยังรวมไปถึงความจริงที่ว่าท่านนั้นมีศิษย์อยู่ทั่วทุกที่แถมยังคงมีชื่อเสียงในด้านของความซื่อสัตย์
ดังนั้น เทียนเอ๋อจึงไม่คิดที่จะปิดบังตัวเองต่อท่าน
ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านช่วยข้าปกปิดความลับนี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง
แน่นอนว่าข้าจะจดจำคำสอนของท่านไว้และจะทำให้ชื่อของท่านดังก้องไปทั่วแผ่นดิน !
”
หลิงเทียเคยเห็นชายชรานิสัยแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว
; เขาอาจจะเป็นคนที่ดื้อรั้น
แต่แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่หลิงเทียนไว้วางใจ
นอกจากนี้หลิงเทียนยังคงมีเวลาอีกหลายปีที่จะต้องใช้ไปกับตาแก่ผู้นี้และเพราะยังไงบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถซ่อนไว้ได้นาน
ถ้าเป็นเช่นนั้น
นี่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะเปิดเผยเพื่อคลายความกังวลและความคับข้องใจระหว่างหลิงเทียนและเขา
ปรมาจารย์ฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา
เขาพูด “ จากครั้งแรกที่ข้าเริ่มสอนจนถึงตอนนี้
ตั้งแต่คนที่มีภูมิหลังต้อยต่ำไปจนถึงลูกหลานของขุนนาง
ข้าไม่เคยเห็นคนที่มีสติปัญญาเทียบเท่ากับเจ้าได้เลย เทียนเอ๋อ. การที่ข้าสามารถหาศิษย์ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้ในชีวิตของข้า
ตาแก่ผู้นี้ก็ตายตาหลับและไม่มีความรู้สึกเสียใจใดๆอีกในชีวิตนี้ ”
“ ถ้าอย่างนั้น
เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเช่นนั้นเมื่อวานนี้…? ” คิ้วขาวๆของปรมาจารย์ฉินขดเป็นปมด้วยความสงสัย
หลิงเทียนเพียงแค่ยิ้มเล็กๆก่อนจะพูด
“ ข้าจำเป็นต้องหันเหความสนใจของเสือและให้สัญญาณกับคนเหล่านั้นด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่
. ผู้สืบทอดของตระกูลหลิงยังไงก็มีเพียงข้า , หลิงเทียน เท่านั้น . นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องมันบานปลายจนเพิ่มความทุกข์ให้กับทุกคน
”
ความหมายของประโยคที่หลิงเทียนพูดมาเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดและถึงแม้ว่าปรมาจารย์ฉินนั้นจะเป็นคนที่อ่อนต่อโลก
แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้สติและตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันอยู่เสมอ
เขาแน่นอนว่าต้องรู้ว่านัยยะที่หลิงเทียนสื่อนั้นหมายถึงอะไร
เขาช่วยไม่ได้ที่ต้องมองเด็กน้อยผู้นี้ด้วยความชื่นชม
หลิงเทียนหัวเราะร่า
“ งั้นสิ่งแรกที่ข้าต้องบอกท่านในวันนี้ก็คือ
ข้าจะกลายเป็นคนเกียจร้านและกลายเป็นคนเสเพลแถมยังไม่มีแรงจูงใจใดๆในการปรับปรุงตัวเอง
แล้วท่านจะยกโทษให้ข้าเมื่อเวลานั้นมาถึงได้หรือไม่ ? ”
คำพูดนี้ของหลิงเทียนดังก้องราวกับระเบิดอยู่ในความคิดของปรมาจารย์ฉินอีกและทำให้เขารู้สึกมึนงงคล้ายกับคนโง่
เขาทำได้เพียงแค่ถาม “ ทำไมเจ้าถึงต้องทำเช่นนั้นเล่า ? ”
สายตาของหลิงเทียนพลันกลายเป็นเย็นชาก่อนจะตอบ “ อย่าบอกข้าว่าท่านไม่เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันภายในตระกูลหลิง ?
ถึงแม้ว่าเราจะยังดูไม่มีปัญหาอะไรหากมองจากภายนอก
แต่พวกเรานั้นกลับถูกล้อมรอบไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดตัวข้าก็คือข้ออ้างที่ดีที่จะสามารถทำลายตระกูลพร้อมสังหารหมู่ผู้คนของตระกูลหลิงแถมยังจะต้องถูกสาปแช่งไปชั่วนิรันดร์
! ให้ข้าลองถามท่านอาจารย์
ถ้าหากว่ามีสุดยอดอัจฉริยะเกิดขึ้นที่ตระกูลหลิง ณ เวลานี้
และหากข่าวลือเกิดแพร่กระจายออกไป สถานการณ์เช่นใดกันเล่าที่จะเกิดขึ้นให้เราเห็น
? ”
ปรมาจารย์ฉินรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
! ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอก
เขาย่อมแน่นอนว่าต้องเห็นสถานการณ์ภายในของตระกูลหลิงในปัจจุบัน !
แต่อย่างไรก็ตามเพราะว่าสมาชิกทั้งสองรุ่นก่อนหน้านี่ของตระกูลหลิงนั้นล้วนเป็นบุคคลที่กล้าหาญและตรงไปตรงมา
พวกเขาซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อราชวงศ์
ทุกคนจึงเลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างปรกติ
ถ้าหากมีใครต้องการจะกำจัดตระกูลหลิงโดยไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ
ผลจากความวุ่นวายมันจะส่งผลกระทบต่ออาณาจักรและสั่นคลอนรากฐานทั้งหมด
นั่นเป็นสิ่งที่พวกตระกูลมหาอำนาจอื่นๆรวมถึงราชวงศ์ไม่ต้องการจะเห็น นอกจากนี้
เนื่องจากสมาชิกทั้งหมดของตระกูลนั้นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลราชวงศ์ แม้ว่าพวกเขาอาจดูเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม
แต่พวกเขาก็ยังสามารถอยู่ได้โดยปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม
การปรากฏตัวของหลิงเทียนนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายสมดุลแห่งอำนาจทั้งหมด ! ด้วยสติปัญญาที่เหนือผู้ใดของเขาแน่นอนว่าเกินกว่าที่ขุมอำนาจใดๆในโลกนี้จะเทียบเทียมได้
! กระทั่งปรมาจารย์ฉินก็ยังไม่สามารถคาดเดาว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบใดเกิดขึ้นเมื่อหลิงเทียนได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล
!
ตัวตนเช่นเขานั้นเปรียบดั่งมังกรที่บินแหวกว่ายอยู่บนแดนสวรรค์ ; แล้วเขาจะพอใจกับการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คนอื่นได้เยี่ยงไร ?
ดังนั้นหากว่ามีข่าวเกี่ยวกับหลิงเทียนแพร่กระจายออกไป , ตระกูลหลิงคงจะต้องพบกับภัยพิบัติ ! เพียงแค่อายุห้าปีแต่กลับมีสายตาอันกว้างไกลแม้กระทั่งถึงจุดที่วางแผนล่วงหน้าอย่างพิถีพิถันแถมยังเตรียมกลยุทธ์รับมือได้อย่างยอดเยี่ยม
สติปัญญาเช่นนี้พิจารณาได้เพียงคำเดียวเลยว่าน่าหวาดหวั่น !
เมื่อคิดถึงจุดนี้
ปรมาจารย์ฉินพลันตระหนักว่าเขานั้นถูกล่ามโซ่ติดกับเรือแตกหักที่เรียกว่าตระกูลหลิงโดยไม่รู้ตัว
, แถมยังไม่มีเส้นทางให้ถอยหนีอีกแล้ว !
เขาเพียงยกมือที่สั่นเทาก่อนจะชี้นิ้วตรงไปที่เด็กน้อยผู้น่ารังเกียจตรงหน้า
, ด้วยความโง่เขลาของตนเขาจึงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
“ ฮึ่ย ! โดยไม่รู้ตัว
ตาแก่ผู้นี้กลับถูกดึงเข้าสู่แผนการของเจ้า…. เจ้า…เจ้านี่มัน… ”
ใบหน้าของหลิงเทียนปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาราวกับเป็นรอยยิ้มร้อยเล่ห์จากจิ้งจอก
“ ท่านอาจารย์ที่เคารพ , ตอนนี้เข้าใจแล้ว
ใช่หรือไม่ ? ”
ปรมาจารย์ฉินทำได้เพียงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ของเขา
เขารู้สึกต้องการที่จะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวออกมา !
ทันใดนั้น
หลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืนและคุกเข่าและคำนับต่อปรมาจารย์ฉินอย่างขึงขัง “ เรื่องนี้เกี่ยวของถึงการคงอยู่ของตระกูลของข้าและผู้คนอีกนับหมื่นชีวิต
ดังนั้น ศิษย์ผู้นี้ของท่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำแบบนี้
ถ้าหากข้าได้ดูถูกท่านปรมาจารย์ในทางใดๆก็ตาม ได้โปรดยกโทษให้ข้า ! ศิษย์ของท่านผู้นี้สาบานว่าตราบใดที่ตระกูลของหลิงยังคงอยู่
มั่นใจได้เลยว่าพวกเราจะปกป้องท่านและครอบครัวของท่าน !
ถ้าหากว่าข้ากลับคำก็ขอให้สวรรค์สาปแช่งและลงโทษข้าให้ตาย ! ”
ปรมาจารย์ฉินรีบดึงเขาขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจ
“ สิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นเพราะสถานการณ์มันบังคับ
แล้วข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร ? ลืมมันไปเถอะ , ข้านั้นเดิมทีก็ชรามากแล้ว
เวลาก็เหลืออีกเพียงไม่มาก
เพียงเพื่อช่วยเหลือศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตเคยพบพานมา
ตาแก่ผู้นี้จะเดิมพันกับเจ้าสักครา ดีไหมล่ะ ? ”
หลิงเทียนฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใสก่อนจะตอบ
“ แน่นอนว่าท่านใกล้จะตายเต็มทนแล้ว ! ” ขณะที่หลิงเทียนกำลังพูด รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงเทียนนั้นดูราวกับว่ามันต้องการถูกตีด้วยฝ่ามือของตนสักทีสองที
แต่ด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้นและใบหน้าที่แดงก่ำของเขานั้นมันกลับทำให้หลิงเทียนดูน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ
ปรมาจารย์ฉินเพียงจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มเบื้องหน้าของตน
ก่อนจะปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “ นี่เจ้าเป็นเพียงเด็กอายุห้าปี หรือ เป็นจิ้งจอกเฒ่าพันปีปลอมตัวมากันแน่
? ”
หลิงเทียนยิ้มยิงฟันไปที่ชายชราเบื้องหน้า
“ ทำไมท่านไม่ลองเดาดูล่ะ ? ”