ทั้งสามคนเดินไปยังห้องโถงหลังของตระกูลหลิง
หลิงเทียนถึงกับตกใจทันทีที่เขาเข้ามา
มีคนหลายสิบคนอยู่ในห้องโถงนี้
ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผูอาวุโส หลิงเฉินเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในกลุ่มพวกนี้เช่นกัน
ทันทีที่หลิงเทียนเข้ามา เขามองไปรอบๆไปเห็นคนๆหนึ่งซึ่งเขามั่นใจว่าเป็นมัน ;
มันผู้ที่มีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเกิด ! ตอนนี้หลิงเทียนรู้แล้วว่าเขาคือหลิงคง
หลิงจากที่เขารู้ว่าหลิงเฉินนั้นเป็นบุตรชายของหลิงคงและหลิงคงเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรมของปู่ของเขาเท่านั้น
หลิงเทียนก็เข้าใจในทันทีเลยว่าเพราะเหตุใดมันถึงมีเจตนาที่จะฆ่าเขา
บิดาของเขาแน่นอนว่าเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลหลิงแต่ตอนนั้นเขายังไม่มีบุตรหลังจากที่แต่งงานมาหลายปี
ถ้าหากว่าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนั้นผู้สืบทอดก็จะแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นรุ่นที่สามของตระกูลซึ่งก็คงไม่พ้นบุตรชายของหลิงคง,หลิงเฉิน ! แต่เมื่อหลิงเทียนเกิดมา
แน่นอนว่าความหวังและความฝันของบิดาและบุตรคู่นี้ย่อมถูกทำลายลงไป ! แน่นอนว่าจึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะจงเกลียดจงชังต่อหลิงเทียน…
พอเขาคิดถึงเรื่องนี้
หลิงเทียนเริ่มมีความรู้สึกสงสารบิดาและบุตรผู้นี้
เขาคงไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ถ้าหากเขายังรู้สึกเช่นนี้ …
แต่เดี๋ยวนะ … หลิงเทียนพลันคิดอะไรบางอย่างได้
ท่านพ่อและท่านแม่นั้นรักกันมากและทั้งคู่ก็ปกติไม่ได้เป็นโรคอะไร
แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่สามารถมีบุตรได้ทั้งๆที่แต่งงานกันมาหลายปี ?
อย่าบอกข้าว่าทุกอย่างนั่นเป็นแผนของหลิงคง ?!
สายตาของหลิงเทียนพลันกลายเป็นเยือกเย็น
ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็ เจ้าหลิงคงนี่ก็สมควรตายแล้ว !
นับตั้งแต่ที่หลิงเทียนเข้ามาในห้อง
สายตาหลิงคงและหลิงเฉินกลายเป็นร้อนขึ้นเพราะความเกลียดชังในจิตใจของพวกมัน
หลิงเทียนยกมุมปากของเขาขึ้นและวิ่งเข้าไปทักทายปู่ของเขา
หลิงซานพลันอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีและปรากฎรอยยิ้มแห่งความปิติบนใบหน้าของเขาก่อนที่จะกอดหลิงเทียนไว้ในอ้อมอก
“ ฮ่าๆๆ
ข้าไม่ได้เจอนายน้อยหนุ่มผู้นี่มาหลายปีจนตอนนี้เขากลับเติบโตขึ้นจนตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว
เขาช่างเหมือนท่านพี่ยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ… ” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมานี่
หลิงเทียนสามารถรู้ทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ต้องหันกลับไปมองแม้แต่น้อย
มันเป็นเสียงหัวเราะที่แน่นอนว่ามาจากหลิงคง
หลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์คำนับทักทายทุกๆคนก่อนจะกลับมานั่ง
หลิงซานพลันเริ่มจริงจังขึ้นก่อนจะพูดกับหลิงเซียนและชูถิงเอ๋อร์ “
เทียนเอ๋อก็โตขึ้นมากแล้วและมันก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเรียนรู้ศิลปะทั้งหกแขนง
[1] และกวีนิพนธ์เพื่อให้เขามีอนาคตที่ดี
ข้าไม่ต้องการให้ใครก็ตามมาพูดว่าหลานของข้า,หลิงซาน
นั้นเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ไร้ความสามารถและเป็นเพียงเด็กผู้โง่เขลา … อืม , วันนี้ ข้าได้เชิญนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวงมา
ถ้าหากพวกเจ้าสองคนไม่มีอะไรคัดค้าน
พวกเขาจะอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตั้งแต่วันนี้และสั่งสอนเทียนเอ๋อ ” หลังจากหลิงซานพูดจบ เขาจ้องมองไปทางหลิงเซียว
หลิงเซียวหัวเราะอย่างขมขื่นและคิดกับตัวเองว่า
; ท่านได้จัดเตรียมทุกๆอย่างและเลือกเส้นทางไว้ให้ทุกคนแล้ว
เราทั้งสองจะขัดอะไรได้ ?
แถมตัวเขายังซ่อนความตั้งใจที่แท้จริงไว้ในคำพูดพวกนั้นอีก
อะไรที่เขาหมายถึงไร้ประโยชน์ , ไร้ความสามารถและกลายเป็นเด็กที่โง่เขลา
? สงสัยเขาจะยังคงโกรธข้าเพราะเหตุการณ์ ‘หนึ่งปีเลือกสรร’ ; หลิงเซียวไม่กล้าที่จะปฏิเสธก่อนจะพูด “ ท่านพ่อ ท่านสามารถตัดสินใจในสิ่งที่ท่านคิดว่าเหมาะสมได้เลย ”
ชูถิงเอ๋อร์นั่งลงก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจหลังกจากที่นางได้ยินคำพูดของหลิงซาน
; ช่วยไม่ได้ที่นางจะโกรธ ตาแก่ผู้นี้
เหตุใดถึงพูดเกี่ยวกับหลานตัวเองเช่นนั้น ? ลูกชายของข้าเพิ่งจะอายุ 5 ขวบเท่านั้น ทำไมต้องพูดว่าเขาจะเป็นคนไร้ความสามารถ ?
หลิงซานกอดหลิงเทียนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ หลานชายตัวดี มองดูพวกเขาสิ
ปู่ของเจ้าคัดสรรผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดมาเพื่อสอนเจ้าเลยนะ ”
หลิงเทียนชี้ไปที่เหล่าคนพวกนั้นก่อนจะถาม
“ คนพวกนี้งั้นหรือ? ”
หลิงซานตอบด้วยรอยยิ้ม
“ ดูนั่นสิ นั่นท่านปรมาจารย์ฉิน [ 秦 Qin]
จะสอนเจ้าเกี่ยวกับกวีนิพนธ์
ท่านหลินนั้นเป็นคนที่ชอบธรรมและมีความรู้สูงส่ง และเป็นอาจารย์ที่ดี ”
ปรมาจารย์ฉินผู้นั้นสวมชุดคลุมของนักปราชญ์ด้วยรูปร่างที่ดูผมแห้ง
เขาลูบเคลาของเขาและพยักหน้าให้กับหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ ส่วนทางนี้คือปรมาจารย์ลู่ซึ่งจะสอนการยิงธนูและขี่ม้าให้กับเจ้า
ปรมาจารย์ลู่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูและการขี่ม้าเป็นอย่างมาก
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขานั้นเป็นราชครูผู้ที่สอนให้กับองครักษ์ของราชวงศ์
นายทหารระดับสูงและมีชื่อเสียงหลายนายนั้นถูกสอนโดยเขา ; มันสามารถกล่าวได้ว่าเขานั้นมีสาวกผู้มีพรสวรรค์มากมาย
”
“
ส่วนนี่คือปรมาจารย์ชางซึ่งจะสอนเจ้าเกี่ยวกับดนตรี
ปรมาจารย์ชางนั้นเป็นที่รู้กันว่ามีความเข้าใจลึกซึ่งในด้านของดนตรีโดยเฉพาะพิณ
และเขาเป็นนักดนตรีอันดับหนึ่งในพระราชวัง ”
“ ทางนี้คือปรมาจารย์
เห๋อ ซึ่งจะเป็นอีกคนที่สอนดนตรีให้เจ้า ปรมาจารย์
เห๋อนั้นเป็นที่เลื่องลือด้วยทักษะทางด้านขลุ่ย ทั้งขลุ่ยที่เป่าปลาย
และขลุ่ยที่เป่าข้าง [side-blowing and end-blowing flute]
นักดนตรีทั่วโลกในทุกวันนี้จะถือเป็นเกียรติทุกครั้งที่ได้ฟังการแสดงของปรมาจารย์
เห๋อ ”
“
ส่วนด้านนี้คือปรมาจารย์ โห๋ว ซึ่งจะสอนเจ้าเกี่ยวกับการวาดภาพ… ” ตาของหลิงเทียนเบิกกว้างขึ้น
“ คนนี้จะเขาจะสอนเจ้าในการประดิษฐ์ตัวอักษร…
” หลิงเทียนกรอกตาไปมาคล้ายจะเป็นลม
“
เขาจะสอนเจ้าเกี่ยวกับมารยาท…”
หลิงเทียน
“….”
“ เขาจะสอนเจ้าเกี่ยวกับ…
”
“ เขาจะ… ”
“ เขา… ”
ตูม
!!!!!
ตาของหลิงเทียนนั้นเหลือจนเหลือแค่ตาขาวในขณะที่นิ้วของเขาที่ชี้ไปที่ปรมาจารย์แต่ละคนนั้นพลันตกลงไปที่พื้น
ร่างกายของเขาสั่นเทาไปทั้งตัว…
หลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์เริ่มอ้อนวอนให้กับลูกชายของพวกเขาด้วยความปวดร้าว
แต่ด้วยการช่วยเหลือและการตำหนิของนายหญิงใหญ่หลิงทำให้สุดท้ายหลิงซานก็เปลี่ยนความคิดของเขา
สุดท้ายก็เหลือปรมาจารย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นก่อนที่เหลือจะกลับไปพัก
ยังไงก็ตาม
หลิงซานยอมถอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลิงซานกล่าวอย่างจริงจังแม้ว่าหลิงเทียนจะไม่ได้เรียนกับพวกเขาทั้งหมดแต่หลิงเทียนต้องเรียนรู้และเข้าใจอย่างน้อยก็ต้องเรียนกวีนิพนธ์
, การขี่ม้าและการยิงธนู
สามอย่างนี้คือบทเรียนบังคับสำหรับเขา . หมากรุก , พิณ , การเขียนอักษรและการวาดภาพเป็นบทเรียนที่สอง
สำหรับส่วนที่เหลือหลิงเทียนจะต้องเป็นคนเลือกพวกมันด้วยตัวเอง…
หลิงเทียนรู้สึกหดหู่
!
บิดาผู้นี้สามารถสอนเจ้าปรมาจารย์พวกนี้ได้ทั้งหมด
! ไม่ใช่แค่เพียงการประพันธ์บกวี , หมากรุก , ดนตรีและการเขียนอักษรแต่ยังรวมไปถึงศาสตราวุธอีก
18 แขนงแถมด้วยศิลปะการต่อสู้ทั้งภายในและภายนอกอีก !
ถ้าหากอยากรู้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ข้ายังสามารถสอนเคมีหรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ
, ญี่ปุ่น , เยอรมัน , สเปน และโปรตุเกส…
ด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างมาก
หลิงเฉินซึ่งเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าจึงกลายเป็นที่ระบายความโกรธของเขา
หลังจากเสร็จสิ้น
หลิงคงแนะนำให้หลิงเฉินเรียนไปพร้อมกับหลิงเทียนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น
และยังได้รับการอนุมัติจากหลิงซานอีกรวมไปถึงหลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์ทันที
เช่นนี้หลิงเฉินจึงกลายเป็นผู้ดูแลในการเรียนของหลิงเทียนภายใต้การเรียกร้องของหลิงคง
[ TL : ผู้ดูแลในที่นี้คือเหมือนเป็นข้ารับใช้คอยดูความประพฤติและถือเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
]
เดิมที
,
หลิงเทียนนั้นรู้สึกขบขันเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มที่ดูแสแสร้งจากใบหน้าของหลิงเฉิน
แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมากและหลิงเฉินก็ยิ้มแสแสร้งออกมาให้เห็นอีกครั้งทำให้หลิงเทียนหมั่นไส้และกระโดนเหยียบหน้าหลิงเฉินในทันที
“ เจ้าหัวเราะอะไรของเจ้า ? ไสหัวออกไปไกลๆซะถ้าเจ้ายังกล้าหัวเราะอีก
! ” [ TL : ไหนมึงบอกจะไม่ทำตัวเด่นไง !! ]
นี่มันเรื่องบ้าอะไร
! บางทีอาจกล่าวได้ว่ามันหายากมากสำหรับใครสักคนที่อายุเท่าเจ้าแล้วจะสามารถทำตัวเจ้าเล่ห์
มันอาจจะน่าสนใจสำหรับข้าที่จะเล่นกับเจ้าไปอีกหลายปี แต่ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของเจ้า
เจ้ายังกล้าพยายามซ่อนดาบไว้ใต้รอยยิ้มอันแสนโง่งมนั่น ?
เจ้าไม่ต้องการตายง่ายๆใช่ไหม ?
หลิงซานล้มลงพร้อมกับรอยเท้าที่ประดับอยู่บนหน้าของมัน
จมูกของมันเริ่มมีเลือดไหลออกมาและดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่เพียงหลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มร้องไห้ออกมา
จากนั้นหลิงเทียนก็ด่าอย่างรุนแรง
“ เจ้าจะร้องไห้เพื่อ ?
ข้าเตะเจ้าเพียงครั้งเดียวเองนะ ? เจ้าร้องไห้ฟูมฟายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ? เหอะ!
” หลิงเทียนชี้นิ้วด่าด้วยความรังเกียจ
ปรมาจารณ์ฉินซึ่งกำลังท่องบทกวีอยู่พลันส่ายหน้า
ไม่น่าเชื่อเลยว่านายน้อยหนุ่มผู้ที่ดูเหมือนอิสตรีผู้นี้จะเป็นคนโหดเหี้ยม
ในพริบตาเดียวเท่านั้นที่นักเรียนอีกคนหนึ่งของเขาลงไปนอนกองกับพื้นด้วยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด
! ในจังหวะนั้นปากของปรมาจารย์ฉินสั่นในขณะที่เขาโกรธเกรี้ยว
เขาชี้ไปที่หลิงเทียนด้วยมือที่สั่น เขาไม่สามารถสรรหาคำใดมากล่าวได้ “ เจ้า…เจ้า… ”
หลิงเทียนพลันหันไปมองก่อนจะพูด
“ ข้าอะไร ?
นายน้อยหนุ่มผู้นี้กำลังให้ความรู้กับผู้ดูแลของข้า เจ้ามีอะไรจะกล่าวไหม ?
”
นิ้วปรมาจารย์ฉินยังคงสั่นชี้ไปที่หลิงเทียนด้วยความโกรธ
“ เจ้า…เจ้า…เจากำลังจะทำให้ตาแก่ผู้นี้โกรธตาย ! ”
หลิงเทียนหัวเราะออกมาและเตะไปที่ท้องของหลิงเฉิน
“ ลุกขึ้น
เจ้ากำลังทำเป็นแกล้งตายเหมือนหมาใช่ไหม ? นายน้อยหนุ่มผู้นี้ขอบอกเจ้าไว้ตอนนี้
เมื่อใดที่ข้าไม่มีความสุข เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ยิ้ม เมื่อไรที่นายน้อยผู้นี้มีความสุข
เจ้าจะต้องหัวเราะแม้ว่าขาเจ้าจะหัก ! เจ้าเข้าใจใช่ไหม ?
” [ TL : ขอคำนิยามไม่ทำตัวเด่นดังหน่อยพ่อคุณ ]
หลิงเฉินร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่เขากำลังงอตัวและพยายามจะลุกขึ้น
ใบหน้าของเขากลายเป็นดุร้ายก่อนจะด่าหลิงเทียน “
ไอ้ลูกกะหรี่ [ Son of a bitch ] ! เจ้ากล้าทำร้ายข้า ?! ”
“ เอ๊ะ? แม่งเอ้ย !
เจ้าแน่มาก ! เจ้าถึงกับกล้าด่าข้า ? ”
ฮ่าๆๆ ข้าต้องการให้เจ้าด่าข้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ด่าข้า
ข้าก็จะตีเจ้าต่อไม่ได้หน่ะสิ ! แต่คำพูดของเจ้าทำให้ข้ายั๊วะแล้ว
! ไอ้เด็กเหลือขอ !
หลิงเทียนพุ่งไปหาหลิงเฉินและกระหน่ำใช้ทั้งมือและเท้า
แม้ว่าหลิงเฉินจะอายุมากกว่าเขาถึงสามปีแต่หลิงเทียนนั้นว่องไวกว่ามาก
ถ้าหากเขาใช้ปราณภายในเขาอาจจะสามารถฆ่าหลิงเทียนได้ภายในหมัดเดียว ต่อมา
หลิงเฉินนั้นลงไปนอนกองกับพื้นราวกับปลาที่ตายแล้วและเต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างกาย !
“ เจ้าเด็กคนนี้มันสอนไม่ได้แล้ว
! ” เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะหยุดการต่อสู้
ใบปรมาจารย์หลิงกลายเป็นซีดเซียวทันใดนั้นเขาก็ยกไม้บรรทัดในมือของเขาขึ้นและตะโกน
“ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ ! ”
“ เพื่อ ?
คุกเข่าเพื่ออะไร ? นายน้อยหนุ่มผู้นี้เพียงแค่สอนบทเรียนให้ผู้ดูแลของข้าเท่านั้น
ใครสั่งให้มันยิ้มในขณะที่ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีกันล่ะ ?
อย่าบอกว่าข้านั้นผิดที่สั่งสอนบทเรียนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ?
ข้าต้องโดนลงโทษงั้นเหรอ ? ” หลิงเทียนกล่าวด้วยเสียงดุดัน …
นี่มันเรื่องบ้าอะไร !
บิดาและบุตรคู่นี้ต้องการทำร้ายข้าแม้กระทั่งในความฝัน
แน่นอนว่าไม่ผิดที่ข้าจะขอเก็บดอกเบี้ยก่อน !
แม่งเอ้ย
! , ให้ข้ามาศึกษาขงจื้อกับมันที่นี่นับเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุด !
ถ้าหากข้าไม่กำจัดมันออกไป แผนของข้าจะสำเร็จงั้นได้อย่างไร ?
นอกจากนี้ถ้าข้าได้รับการสอนอย่างดีที่สุดเช่นนี้
จะไม่ทำให้ตระกูลหยางและตระกูลราชวงศ์จัดการเราพวกเราก่อนเวลาอันควร ?
บิดาผู้นี้เชื่อฟังมาตลอดห้าปีแล้ว
! ; เวลานี้ขอข้าทำตามใจสักครั้งเถอะ !
[1]
ศิลปะทั้งหกแขนงได้แก่ : พิธีกรรมและศาสนา , ดนตรี , การยิงธนู , การขี่ม้า
, การเขียนอักษร และการคำนวนเลข