บทที่ 16 : ไร้เหตุผล




ทั้งสามคนเดินไปยังห้องโถงหลังของตระกูลหลิง หลิงเทียนถึงกับตกใจทันทีที่เขาเข้ามา


มีคนหลายสิบคนอยู่ในห้องโถงนี้ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผูอาวุโส หลิงเฉินเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในกลุ่มพวกนี้เช่นกัน ทันทีที่หลิงเทียนเข้ามา เขามองไปรอบๆไปเห็นคนๆหนึ่งซึ่งเขามั่นใจว่าเป็นมัน ; มันผู้ที่มีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเกิด ! ตอนนี้หลิงเทียนรู้แล้วว่าเขาคือหลิงคง


หลิงจากที่เขารู้ว่าหลิงเฉินนั้นเป็นบุตรชายของหลิงคงและหลิงคงเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรมของปู่ของเขาเท่านั้น หลิงเทียนก็เข้าใจในทันทีเลยว่าเพราะเหตุใดมันถึงมีเจตนาที่จะฆ่าเขา บิดาของเขาแน่นอนว่าเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลหลิงแต่ตอนนั้นเขายังไม่มีบุตรหลังจากที่แต่งงานมาหลายปี ถ้าหากว่าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนั้นผู้สืบทอดก็จะแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นรุ่นที่สามของตระกูลซึ่งก็คงไม่พ้นบุตรชายของหลิงคง,หลิงเฉิน ! แต่เมื่อหลิงเทียนเกิดมา แน่นอนว่าความหวังและความฝันของบิดาและบุตรคู่นี้ย่อมถูกทำลายลงไป ! แน่นอนว่าจึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะจงเกลียดจงชังต่อหลิงเทียน


พอเขาคิดถึงเรื่องนี้ หลิงเทียนเริ่มมีความรู้สึกสงสารบิดาและบุตรผู้นี้ เขาคงไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ถ้าหากเขายังรู้สึกเช่นนี้ แต่เดี๋ยวนะ หลิงเทียนพลันคิดอะไรบางอย่างได้ ท่านพ่อและท่านแม่นั้นรักกันมากและทั้งคู่ก็ปกติไม่ได้เป็นโรคอะไร แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่สามารถมีบุตรได้ทั้งๆที่แต่งงานกันมาหลายปี ? อย่าบอกข้าว่าทุกอย่างนั่นเป็นแผนของหลิงคง ?!


สายตาของหลิงเทียนพลันกลายเป็นเยือกเย็น ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็ เจ้าหลิงคงนี่ก็สมควรตายแล้ว !


นับตั้งแต่ที่หลิงเทียนเข้ามาในห้อง สายตาหลิงคงและหลิงเฉินกลายเป็นร้อนขึ้นเพราะความเกลียดชังในจิตใจของพวกมัน


หลิงเทียนยกมุมปากของเขาขึ้นและวิ่งเข้าไปทักทายปู่ของเขา หลิงซานพลันอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีและปรากฎรอยยิ้มแห่งความปิติบนใบหน้าของเขาก่อนที่จะกอดหลิงเทียนไว้ในอ้อมอก


ฮ่าๆๆ ข้าไม่ได้เจอนายน้อยหนุ่มผู้นี่มาหลายปีจนตอนนี้เขากลับเติบโตขึ้นจนตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว เขาช่างเหมือนท่านพี่ยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ… ” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมานี่ หลิงเทียนสามารถรู้ทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ต้องหันกลับไปมองแม้แต่น้อย มันเป็นเสียงหัวเราะที่แน่นอนว่ามาจากหลิงคง


หลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์คำนับทักทายทุกๆคนก่อนจะกลับมานั่ง หลิงซานพลันเริ่มจริงจังขึ้นก่อนจะพูดกับหลิงเซียนและชูถิงเอ๋อร์ เทียนเอ๋อก็โตขึ้นมากแล้วและมันก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเรียนรู้ศิลปะทั้งหกแขนง [1] และกวีนิพนธ์เพื่อให้เขามีอนาคตที่ดี ข้าไม่ต้องการให้ใครก็ตามมาพูดว่าหลานของข้า,หลิงซาน นั้นเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ไร้ความสามารถและเป็นเพียงเด็กผู้โง่เขลา อืม , วันนี้ ข้าได้เชิญนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวงมา ถ้าหากพวกเจ้าสองคนไม่มีอะไรคัดค้าน พวกเขาจะอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตั้งแต่วันนี้และสั่งสอนเทียนเอ๋อ หลังจากหลิงซานพูดจบ เขาจ้องมองไปทางหลิงเซียว


หลิงเซียวหัวเราะอย่างขมขื่นและคิดกับตัวเองว่า ; ท่านได้จัดเตรียมทุกๆอย่างและเลือกเส้นทางไว้ให้ทุกคนแล้ว เราทั้งสองจะขัดอะไรได้ ? แถมตัวเขายังซ่อนความตั้งใจที่แท้จริงไว้ในคำพูดพวกนั้นอีก อะไรที่เขาหมายถึงไร้ประโยชน์ , ไร้ความสามารถและกลายเป็นเด็กที่โง่เขลา ? สงสัยเขาจะยังคงโกรธข้าเพราะเหตุการณ์ หนึ่งปีเลือกสรร ; หลิงเซียวไม่กล้าที่จะปฏิเสธก่อนจะพูด ท่านพ่อ ท่านสามารถตัดสินใจในสิ่งที่ท่านคิดว่าเหมาะสมได้เลย


ชูถิงเอ๋อร์นั่งลงก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจหลังกจากที่นางได้ยินคำพูดของหลิงซาน ; ช่วยไม่ได้ที่นางจะโกรธ ตาแก่ผู้นี้ เหตุใดถึงพูดเกี่ยวกับหลานตัวเองเช่นนั้น ? ลูกชายของข้าเพิ่งจะอายุ 5 ขวบเท่านั้น ทำไมต้องพูดว่าเขาจะเป็นคนไร้ความสามารถ ?


หลิงซานกอดหลิงเทียนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลานชายตัวดี มองดูพวกเขาสิ ปู่ของเจ้าคัดสรรผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดมาเพื่อสอนเจ้าเลยนะ


หลิงเทียนชี้ไปที่เหล่าคนพวกนั้นก่อนจะถามคนพวกนี้งั้นหรือ?


หลิงซานตอบด้วยรอยยิ้ม ดูนั่นสิ นั่นท่านปรมาจารย์ฉิน [ Qin]  จะสอนเจ้าเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ ท่านหลินนั้นเป็นคนที่ชอบธรรมและมีความรู้สูงส่ง และเป็นอาจารย์ที่ดี


ปรมาจารย์ฉินผู้นั้นสวมชุดคลุมของนักปราชญ์ด้วยรูปร่างที่ดูผมแห้ง เขาลูบเคลาของเขาและพยักหน้าให้กับหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


ส่วนทางนี้คือปรมาจารย์ลู่ซึ่งจะสอนการยิงธนูและขี่ม้าให้กับเจ้า ปรมาจารย์ลู่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูและการขี่ม้าเป็นอย่างมาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขานั้นเป็นราชครูผู้ที่สอนให้กับองครักษ์ของราชวงศ์ นายทหารระดับสูงและมีชื่อเสียงหลายนายนั้นถูกสอนโดยเขา ; มันสามารถกล่าวได้ว่าเขานั้นมีสาวกผู้มีพรสวรรค์มากมาย


ส่วนนี่คือปรมาจารย์ชางซึ่งจะสอนเจ้าเกี่ยวกับดนตรี ปรมาจารย์ชางนั้นเป็นที่รู้กันว่ามีความเข้าใจลึกซึ่งในด้านของดนตรีโดยเฉพาะพิณ และเขาเป็นนักดนตรีอันดับหนึ่งในพระราชวัง


ทางนี้คือปรมาจารย์ เห๋อ ซึ่งจะเป็นอีกคนที่สอนดนตรีให้เจ้า ปรมาจารย์ เห๋อนั้นเป็นที่เลื่องลือด้วยทักษะทางด้านขลุ่ย ทั้งขลุ่ยที่เป่าปลาย และขลุ่ยที่เป่าข้าง [side-blowing and end-blowing flute] นักดนตรีทั่วโลกในทุกวันนี้จะถือเป็นเกียรติทุกครั้งที่ได้ฟังการแสดงของปรมาจารย์ เห๋อ


ส่วนด้านนี้คือปรมาจารย์ โห๋ว ซึ่งจะสอนเจ้าเกี่ยวกับการวาดภาพ… ” ตาของหลิงเทียนเบิกกว้างขึ้น


คนนี้จะเขาจะสอนเจ้าในการประดิษฐ์ตัวอักษร… ” หลิงเทียนกรอกตาไปมาคล้ายจะเป็นลม


เขาจะสอนเจ้าเกี่ยวกับมารยาท…”


หลิงเทียน “….”


เขาจะสอนเจ้าเกี่ยวกับ… ”


เขาจะ… ”


เขา… ”

ตูม !!!!!


ตาของหลิงเทียนนั้นเหลือจนเหลือแค่ตาขาวในขณะที่นิ้วของเขาที่ชี้ไปที่ปรมาจารย์แต่ละคนนั้นพลันตกลงไปที่พื้น ร่างกายของเขาสั่นเทาไปทั้งตัว


หลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์เริ่มอ้อนวอนให้กับลูกชายของพวกเขาด้วยความปวดร้าว แต่ด้วยการช่วยเหลือและการตำหนิของนายหญิงใหญ่หลิงทำให้สุดท้ายหลิงซานก็เปลี่ยนความคิดของเขา สุดท้ายก็เหลือปรมาจารย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นก่อนที่เหลือจะกลับไปพัก


ยังไงก็ตาม หลิงซานยอมถอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลิงซานกล่าวอย่างจริงจังแม้ว่าหลิงเทียนจะไม่ได้เรียนกับพวกเขาทั้งหมดแต่หลิงเทียนต้องเรียนรู้และเข้าใจอย่างน้อยก็ต้องเรียนกวีนิพนธ์ , การขี่ม้าและการยิงธนู สามอย่างนี้คือบทเรียนบังคับสำหรับเขา . หมากรุก , พิณ , การเขียนอักษรและการวาดภาพเป็นบทเรียนที่สอง สำหรับส่วนที่เหลือหลิงเทียนจะต้องเป็นคนเลือกพวกมันด้วยตัวเอง


หลิงเทียนรู้สึกหดหู่ !


บิดาผู้นี้สามารถสอนเจ้าปรมาจารย์พวกนี้ได้ทั้งหมด ! ไม่ใช่แค่เพียงการประพันธ์บกวี , หมากรุก , ดนตรีและการเขียนอักษรแต่ยังรวมไปถึงศาสตราวุธอีก 18 แขนงแถมด้วยศิลปะการต่อสู้ทั้งภายในและภายนอกอีก ! ถ้าหากอยากรู้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ข้ายังสามารถสอนเคมีหรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ , ญี่ปุ่น , เยอรมัน , สเปน และโปรตุเกส


ด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างมาก หลิงเฉินซึ่งเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าจึงกลายเป็นที่ระบายความโกรธของเขา


หลังจากเสร็จสิ้น หลิงคงแนะนำให้หลิงเฉินเรียนไปพร้อมกับหลิงเทียนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น และยังได้รับการอนุมัติจากหลิงซานอีกรวมไปถึงหลิงเซียวและชูถิงเอ๋อร์ทันที เช่นนี้หลิงเฉินจึงกลายเป็นผู้ดูแลในการเรียนของหลิงเทียนภายใต้การเรียกร้องของหลิงคง [ TL : ผู้ดูแลในที่นี้คือเหมือนเป็นข้ารับใช้คอยดูความประพฤติและถือเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน ]


เดิมที , หลิงเทียนนั้นรู้สึกขบขันเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มที่ดูแสแสร้งจากใบหน้าของหลิงเฉิน  แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมากและหลิงเฉินก็ยิ้มแสแสร้งออกมาให้เห็นอีกครั้งทำให้หลิงเทียนหมั่นไส้และกระโดนเหยียบหน้าหลิงเฉินในทันที เจ้าหัวเราะอะไรของเจ้า ? ไสหัวออกไปไกลๆซะถ้าเจ้ายังกล้าหัวเราะอีก ! ” [ TL : ไหนมึงบอกจะไม่ทำตัวเด่นไง !! ]


นี่มันเรื่องบ้าอะไร ! บางทีอาจกล่าวได้ว่ามันหายากมากสำหรับใครสักคนที่อายุเท่าเจ้าแล้วจะสามารถทำตัวเจ้าเล่ห์ มันอาจจะน่าสนใจสำหรับข้าที่จะเล่นกับเจ้าไปอีกหลายปี แต่ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของเจ้า เจ้ายังกล้าพยายามซ่อนดาบไว้ใต้รอยยิ้มอันแสนโง่งมนั่น ? เจ้าไม่ต้องการตายง่ายๆใช่ไหม ?


หลิงซานล้มลงพร้อมกับรอยเท้าที่ประดับอยู่บนหน้าของมัน จมูกของมันเริ่มมีเลือดไหลออกมาและดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่เพียงหลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มร้องไห้ออกมา


จากนั้นหลิงเทียนก็ด่าอย่างรุนแรง เจ้าจะร้องไห้เพื่อ ? ข้าเตะเจ้าเพียงครั้งเดียวเองนะ ? เจ้าร้องไห้ฟูมฟายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ? เหอะ! ” หลิงเทียนชี้นิ้วด่าด้วยความรังเกียจ


ปรมาจารณ์ฉินซึ่งกำลังท่องบทกวีอยู่พลันส่ายหน้า ไม่น่าเชื่อเลยว่านายน้อยหนุ่มผู้ที่ดูเหมือนอิสตรีผู้นี้จะเป็นคนโหดเหี้ยม ในพริบตาเดียวเท่านั้นที่นักเรียนอีกคนหนึ่งของเขาลงไปนอนกองกับพื้นด้วยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด ! ในจังหวะนั้นปากของปรมาจารย์ฉินสั่นในขณะที่เขาโกรธเกรี้ยว เขาชี้ไปที่หลิงเทียนด้วยมือที่สั่น เขาไม่สามารถสรรหาคำใดมากล่าวได้ เจ้าเจ้า… ”


หลิงเทียนพลันหันไปมองก่อนจะพูด ข้าอะไร ? นายน้อยหนุ่มผู้นี้กำลังให้ความรู้กับผู้ดูแลของข้า เจ้ามีอะไรจะกล่าวไหม ?


นิ้วปรมาจารย์ฉินยังคงสั่นชี้ไปที่หลิงเทียนด้วยความโกรธ เจ้าเจ้าเจากำลังจะทำให้ตาแก่ผู้นี้โกรธตาย ! ”


หลิงเทียนหัวเราะออกมาและเตะไปที่ท้องของหลิงเฉิน ลุกขึ้น เจ้ากำลังทำเป็นแกล้งตายเหมือนหมาใช่ไหม ? นายน้อยหนุ่มผู้นี้ขอบอกเจ้าไว้ตอนนี้ เมื่อใดที่ข้าไม่มีความสุข เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ยิ้ม เมื่อไรที่นายน้อยผู้นี้มีความสุข เจ้าจะต้องหัวเราะแม้ว่าขาเจ้าจะหัก ! เจ้าเข้าใจใช่ไหม ? ” [ TL : ขอคำนิยามไม่ทำตัวเด่นดังหน่อยพ่อคุณ ]


หลิงเฉินร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่เขากำลังงอตัวและพยายามจะลุกขึ้น ใบหน้าของเขากลายเป็นดุร้ายก่อนจะด่าหลิงเทียน ไอ้ลูกกะหรี่ [ Son of a bitch ] ! เจ้ากล้าทำร้ายข้า ?! ”


เอ๊ะ? แม่งเอ้ย ! เจ้าแน่มาก ! เจ้าถึงกับกล้าด่าข้า ?ฮ่าๆๆ ข้าต้องการให้เจ้าด่าข้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ด่าข้า ข้าก็จะตีเจ้าต่อไม่ได้หน่ะสิ ! แต่คำพูดของเจ้าทำให้ข้ายั๊วะแล้ว ! ไอ้เด็กเหลือขอ !


หลิงเทียนพุ่งไปหาหลิงเฉินและกระหน่ำใช้ทั้งมือและเท้า แม้ว่าหลิงเฉินจะอายุมากกว่าเขาถึงสามปีแต่หลิงเทียนนั้นว่องไวกว่ามาก ถ้าหากเขาใช้ปราณภายในเขาอาจจะสามารถฆ่าหลิงเทียนได้ภายในหมัดเดียว ต่อมา หลิงเฉินนั้นลงไปนอนกองกับพื้นราวกับปลาที่ตายแล้วและเต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างกาย !


เจ้าเด็กคนนี้มันสอนไม่ได้แล้ว ! ” เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะหยุดการต่อสู้ ใบปรมาจารย์หลิงกลายเป็นซีดเซียวทันใดนั้นเขาก็ยกไม้บรรทัดในมือของเขาขึ้นและตะโกน คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ ! ”


เพื่อ ? คุกเข่าเพื่ออะไร ? นายน้อยหนุ่มผู้นี้เพียงแค่สอนบทเรียนให้ผู้ดูแลของข้าเท่านั้น ใครสั่งให้มันยิ้มในขณะที่ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีกันล่ะ ? อย่าบอกว่าข้านั้นผิดที่สั่งสอนบทเรียนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ? ข้าต้องโดนลงโทษงั้นเหรอ ? หลิงเทียนกล่าวด้วยเสียงดุดัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร ! บิดาและบุตรคู่นี้ต้องการทำร้ายข้าแม้กระทั่งในความฝัน แน่นอนว่าไม่ผิดที่ข้าจะขอเก็บดอกเบี้ยก่อน !


แม่งเอ้ย ! , ให้ข้ามาศึกษาขงจื้อกับมันที่นี่นับเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุด ! ถ้าหากข้าไม่กำจัดมันออกไป แผนของข้าจะสำเร็จงั้นได้อย่างไร ? นอกจากนี้ถ้าข้าได้รับการสอนอย่างดีที่สุดเช่นนี้ จะไม่ทำให้ตระกูลหยางและตระกูลราชวงศ์จัดการเราพวกเราก่อนเวลาอันควร ?


บิดาผู้นี้เชื่อฟังมาตลอดห้าปีแล้ว ! ; เวลานี้ขอข้าทำตามใจสักครั้งเถอะ !


[1] ศิลปะทั้งหกแขนงได้แก่ : พิธีกรรมและศาสนา , ดนตรี , การยิงธนู , การขี่ม้า , การเขียนอักษร และการคำนวนเลข