เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลายปีผ่านไปภายในพริบตาและปัจจุบันหลิงเทียนก็อายุได้ห้าปีแล้ว
สายลมจากฤดูหนาวเริ่มพัดผ่านความหนาวเย็นเข้ามา
เกล็ดหิมะขนาดใหญ่ร่วงหล่นมาจากฟ้าทำให้ผืนดินนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว
ช่วงกลางฤดูหนาวนั้นผ่านมาอย่างรวดเร็ว
ลึกลงไปในเวลาค่ำคืนเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเงียบสงบ
เกล็ดหิมะยังคงร่วงหล่นและลอยลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ภายในห้องลับอุณภูมิภายในนี้กลับอุบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
มีเพียงหลิงเทียนเพียงคนเดียวที่อยู่ในนี้
ร่างเล็กๆของเขาเปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิงขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มือของเขาบิดกลายเป็นรูปดอกบัว
ใบหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวเพราะความทรมานร่างกายเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ
นี่เป็นช่วงสำคัญของเขา
หลิงเทียนรู้ว่าถ้าหากเขาต้องการจะอยู่รอดในโลกใบนี้ซึ่งมีกฎระเบียบที่ซับซ้อนมากกว่าโลกที่แล้วของเขา
ตัวเลือกเดียวที่เขามีก็คือต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อให้เขาสามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นในเส้นทางของเขาได้
ภายในห้าปีที่ผ่านมานี้ เพราะด้วยประสบการณ์ของหลิงเทียนในชาติที่แล้ว ทำให้เขาคุ้นเคยกับจุดคอขวดของขั้นที่สามของทักษะบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์สะท้านมังกร
ตอนนี้เขากำลังพยายามทะลวงให้ถึงขั้นที่สี่ เขาได้ปลีกตัวออกมาและซ่อนตัวอยู่ภายใต้ประตูที่ปิดแน่นเพื่อจะรีบทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สี่
ในชาติที่แล้วของเขา
เขานั้นฝึกฝนทักษะบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์สะท้านมังกรไปจนถึงขั้นสูงสุดของขั้นที่ห้าเมื่อตอนอายุสิบห้าปี
ซึ่งทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริยะทั้งปวงในตระกูลหลิง
นับตั้งแต่ที่ทักษะนื้ถือกำเนิดขึ้นเป็นเวลานับสหัสวรรษ ไม่เคยมีใครที่สามารถบ่มเพาะมันให้ถึงขั้นที่ห้าภายในอายุสิบห้าปี
นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลิงเทียนกลายเป็นบุคคลที่ทำให้คนอื่นอิจฉาในชาติที่แล้วของเขา
นีชีวิตนี้
หลิงเทียนได้ใช้ปราณเซียนเทียนซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวรยุทธ์เป็นรากฐานของเขา ดังนั้นหากเทียบกับการพัฒนาในชาติที่แล้วของเขานั้นย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหวลึกเนื่องจากความแตกต่างระหว่างเซียนเทียนกับปราณโฮวเทียน
ความแข็งแกร่งที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาจึงยิ่งใหญ่กว่านัก จากการคาดเดาของเขาถ้าเขาสามารถทะลวงกำแพงในขั้นที่สี่ของทักษะบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์นี้ไปได้โดยใช้เพียงปราณเซียนเทียน
เขาก็จะสามารถเทียบเท่ากับจุดสูงสุดของขั้นที่หกในชาติที่แล้วของเขา ! ผลลัพธ์ดังกล่าวแม้แต่หลิงเทียนยังคาดไม่ถึง
ตอนนี้เขามาถึงในส่วนที่สำคัญที่สุด
! หลิงเทียนรู้ถึงได้ถึงสัญญาณว่าเขากำลังจะทะลวงผ่าน
ด้วยการหยั่งรู้ทางจิตวิญญาณของเขาเขาสามารถมองเห็นปราณแท้จริงที่อยู่ภายในตันเถียนที่ตอนนี้กำลังเดือดราวกับว่ามีใครกำลังเปิดฝาหม้อต้มน้ำอยู่ภายใน
มันไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณทุกเส้นในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ; ทุกๆครั้งที่เกิดการไหลเวียนลมปราณภายในร่าง หลิงเทียนนั้นจะคอยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปที่ละนิดเพื่อกระตุ้นความเร็วของการไหลเวียนลมปราณ
วิธีนี้เป็นวิธีที่หลิงเทียนคิดขึ้นมาเองและจุดมุ่งหมายของมันก็คือเพื่อให้การไหลเวียนของลมปราณนั้นต่อเนื่องและคงความแข็งแกร่งเดิมไว้ตลอดไม่ให้มันจางหายไปเมื่อผ่านไปยังจุดชีพจรต่างๆ
แต่ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพสูงอย่างมาก
แต่การฝึกฝนด้วยวิธีนี้จะต้องแบกรับความเจ็บปวดที่มหาศาลเป็นการแลกเปลี่ยน มันเทียบได้กับการบังคับสายน้ำเป็นร้อยๆสายเพื่อให้มันไหลผ่านลำธารเล็กๆ
เส้นลมปราณของหลิงเทียนนั้นเปรียบเสมือนกับเส้นทางเล็กๆเหล่านั้น
ที่ต้องพยายามอดทนดิ้นรนต่อความเกรี้ยวกราดของสายธารที่นับไม่ถ้วนที่เรียกว่าปราณเซียนเทียนและถ้าหากเขาเสียการควบคุมไปนั่นจะกลายเป็นจุดจบและเป็นการทำลายเส้นลมปราณทั้งหมด
นั่นจะทำให้เขากลายเป็นคนพิการ !
หลิงเทียนโคจรปราณเซียนเทียนภายในร่างกาย
เขากลั้นหายใจแระอดทนรออย่างสงบ ปริมาณของพลังปราณภายในตัวเขาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและความเร็วก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ
มันขยายจากจุดเริ่มต้นที่ตอนแรกยังดูเลือนลางจนตอนนี้หมุนวนกลายเป็นพายุทอร์นาโดภายในตันเทียนของเขา
หลิงเทียนรู้สึกได้ถึงความเร็วในการหมุนเวียนของปราณแท้จริงที่รวดเร็วจนเกิดเสียง “เฟี้ยว เฟี้ยว” ผ่านการหยั่งรู้ทางจิตวิญญาณของเขา
ร่างกายของหลิงเทียนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
มีหลายบริเวณที่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา เส้นเลือดเริ่มพองและปูนขึ้นมาจากหน้าผากของเขาราวกับว่ามีหนอนชอนไชอยู่ในบริเวณนั้น
ในที่สุด ความเร็วในการหมุนเวียนลมปราณแท้จริงภายในร่างกายของเขาเข้าสู่จุดสูงสุด
ผิวหนังภายนอกของหลิงเทียนเริ่มฉีกขาด เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจนมองเห็นได้ชัด ไม่ได้มีเพียงจุดเดียวในร่างกายที่ไม่สามารถต้านทานการเจ็บปวดนี้รวมถึงความทรมานจากส่วนลึกของวิญญาณไปจนถึงร่างกายทุกส่วนของเขาที่ตอนนี้กำลังเกินขีดจำกัดที่เขาจะแบกรับไหว
ในตอนนี้หลิงเทียนรู้ว่าถ้าหากเขายังฝืนและรวบรวมลมปราณของเขาต่อไป
ร่างกายของเขาคงจะระเบิดจากการที่ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันของมันได้
เขาทำได้เพียงรักษาเสถียรภาพของสภาพจิตใจและจัดการควบคุมอำนาจของพลังปราณในปัจจุบันเพื่อไปทะลวงจุดกวานหยวน
[ TL : จุดฝังเข็มบริเวณหลัง ] ก่อนที่มันจะหลุดการควบคุมโดยการทะลวงกำแพงที่ปิดกั้นจุดกวานหยวน
นี่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเส้นเลือดใหญ่และเส้นลมปราณของเขาจะไม่มีการอุดตันอีกต่อไป
ร่างกายของเขาทรมานด้วยความเจ็บปวดคล้ายกับโดยฉีกกระชากออกจากันภายใต้อิทธิพลของปราณแท้จริง
เส้นผมของเขาชี้ขึ้นฟ้าพร้อมเสียง “ เพ้ง! ” [TL : beng !!!] ราวกับเสียงระเบิดแต่ยังไงก็ตามเส้นผมสีดำงามของเขานั้นไม่มีทีท่าว่าจะร่วงลงมาและยังคงชี้ฟูขึ้นฟ้าราวกับว่าเขาได้กลายเป็นซูเปอร์ไซย่าที่แท้จริง
!
“ ฮง !” [TL : Hong!] เสียงอันน่ากลัวดังออกมาจากทะเลลมปราณของหลิงเทียน
เมื่อจุดกวานหยวนถูกระเบิดออกมา ด้วยความแข็งแกร่งอันมหาศาลของปราณแท้จริงได้ทะลวงผ่านและเริ่มสงบลงหลังจากหมุนวนอยู่ในร่างกายของเขาอีกเก้ารอบ
พื้นรอบๆที่หลิงเทียนนั่งอยู่เปียกชุ่มไปด้วยรอยเปื้อนจากน้ำที่แห้งเหือดกลายเป็นไอ
มันเกิดมาจากเหงื่อของหลิงเทียนในขณะที่เขากำลังอดทนต่อความทุกข์ทรมานจากการบ่มเพาะ
หลังจากที่ปราณแท้จริงทะลวงผ่านจุดกวานหยวนทำให้หลิงเทียนรู้สึกผ่อนคลายในที่สุด
ความสบายที่หาที่เปรียบไม่ได้เริ่มซึมซับเข้าสู่ร่างกาย เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเขาตอนนี้รู้สึกอบอุ่นและสบายอย่างยิ่งราวกับว่ามันทำมาจากปุยฝ้าย
ด้วยความรู้สึกเช่นนี้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขาสามารถทะยานขึ้นไปบนฟ้าได้จากที่ๆเขากำลังนั่งอยู่และล่องลอยไปทั่วฟ้า… ในตอนนี้เขากำลังจิตนาการว่าตัวเองกลายเป็นอมตะ
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ หลิงเทียนรู้สึกราวกับว่าความพยายามและความเจ็บปวดที่เขาได้รับทั้งหมดนี้มันช่างคุ้มค่า
!
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้
หลิงเทียนระลึกถึงตัวตนของเขาในชาติที่แล้ว มันเหมือนกับความรู้สึกเหมือนคนติดฝิ่นมาเป็นสิบๆปีและพอหลังจากเลิกมันได้หนึ่งเดือนก็ได้กลับมาจุดยาและสูบอีกครั้ง… ความรู้สึกแบบนี้… มันเหมือนกับว่าเขาได้สูญเสียความแข็งแกร่งทั้งหมดและแม้กระทั่งจิตวิญญาณก็รู้สึกอ่อนแรง
มันเริ่มลอยขึ้น ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ… [ TL : ไปโดนตัวไหนมา !
]
หลิงเทียนหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง
เขาเริ่มมีความคิดแปลกๆภายในหัวของเขาและจะยังคงใช้ทักษะบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไป
[ TL : มาโซนี่หว่า ] ในทุกๆครั้งที่ผ่านการหมุนเวียน
รอยแตกร้าวบนร่างกายของเขาก็จะเริ่มลดลง ผิวของเขาได้รับการฟื้นฟูและกลับไปสู่สภาพผิวที่ใสราวกับคริสตัลและหยกบริสุทธิ์เหมือนตอนก่อนที่เขาจะทะลวงจุดอุดตันของจุดชีพจร
หลิงเทียนหายใจเข้าออกอย่างช้าๆและเปิดตาของเขา
หลังจากที่ตรวจร่างกายเหลิงเทียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
เขาลุกขึ้นและสวมชุดคลุมที่วางอยู่ข้างๆ
แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเขาใช้เวลานั่งอยู่ในห้องลับนี้นานแค่ไหนแต่เขาก็มั่นใจว่ามันต้องไม่เกินสี่ชั่วโมงแน่นอน
แต่ยังไงก็ตามถ้าหากเขาไม่ออกจากห้องลับนี้เร็วๆล่ะก็เขามั่นใจได้ว่ามารดาของเขาจะต้องเริ่มเป็นห่วงแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะมีโอกาสออกไปข้างนอกในตอนกลางคืนเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดมารดาของเขาจะกังวลว่าเขาจะหนาวจนไม่สบายและด้วยเหตุนี้นางจึงมักจะเข้ามาที่ห้องของเขาและดูแลและตรวจดูเขา
ห้องลับนี้ถูกสร้างขึ้นภายในห้องนอนของหลิงเทียน
เพื่อความสะดวกสบายและเป็นการปกปิดการฝึกฝนของเขา ตอนที่เขาอายุสามปี เขาเริ่มแอบซ่อนตัวในพื้นที่ใต้ดินภายใต้ห้องเล็กๆของเขานี้เพื่อการฝึกฝน
ขนาดของห้องนั้นมีพื้นที่เพียงประมาณสามถึงสี่ตารางเมตรแต่สำหรับเขาที่เคยบ่มเพาะตั้งแต่ในครรถ์ของมารดานี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
มันใช้เวลาเพียงสองคืนเท่านั้นที่เขาขุดเส้นทางนี้ขึ้นมาเพื่อพาเขาไปยังสวนโดยที่ไม่มีใครเห็น
เขาค่อยๆเคาะกระเบื้องหินปูนที่อยู่เหนือร่างของเขาอย่างเบาๆจนร่างเล็กๆของหลิงเทียนหลุดขึ้นมาจากโพรงที่เขาสร้างไว้ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาช้าๆและปิดกระเบื้องกลับที่เดิมให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้มันเกิดเสียง
หลิงเทียนยิ้มด้วยความพอใจและเดินไปที่หน้าต่าง
จ้องมองไปยังโลกที่ถูกปกคลมไปด้วยสีขาวภายนอกหน้าต่าง เกล็ดหิมะที่ดูนุ่มนวลตกลงมาอย่างช้าๆอย่างสวยงามจนทำให้ภาพที่เห็นข้างหน้าราวกับเป็นเพียงความฝันและภาพลวงตา
หลิงเทียนรู้สึกถึงความเหงาที่เพิ่มขึ้นภายในหัวใจของเขา
ตั้งแต่ที่เขาข้ามผ่านมายังโลกนี้
ความรู้สึกแบบนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดา มันเหมือนราวกับว่าบนชั้นฟ้าและชั้นดินที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้มีเพียงเขาเพียงคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิต
! ในค่ำคืนที่ไม่มีแม้แต่เสียงของมนุษย์ทำให้มีความรู้สึกเหงาจนแทบสะท้าน
แม้ร่างกายจะอยู่ในโลกแห่งนี้แต่จิตวิญญาณนั้นไม่ใช่
ร่างของเด็กห้าขวบที่มีวิญญาณของผู้ใหญ่อายุสามสิบปี ความแปลกประหลาดนี้ทำให้หลิงเทียนไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้
เขาไม่ได้ขาดแคลนมนุษยสัมพันธ์
ตระกูลของเขาในตอนนี้มีความสามัคคีกันมาก ปู่และย่าของเขาแสดงความเป็นห่วงและดูแลเอาใจใส่เขาจากส่วนลึกในจิตใจรวมไปถึงบิดามารดาของเขาที่คอยแบ่งปันความรักให้เขามากมายในทุกๆวันอาจจะมากกว่าที่คนทั่วไปได้รับด้วยซ้ำ
เขามีครบทุกๆอย่างๆ แต่ยังไงก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลึกๆของหลิงเทียนนั้นคิดอะไรอยู่
ไม่มีใครสามารถรับรู้ความรู้สึกภายในจิตใจลึกๆของเขา เช่นเดียวกับความเหงาอันโดดเดี่ยวของเขา
แม้ว่าเขาจะเป็นจุดศูนย์กลางของคนนับพัน แต่หัวใจของหลิงเทียนนั้นยังคงรู้สึกอ้างว้าง
แน่นอนว่าหลิงเทียนรู้ว่าตั้งแต่ที่เขามาถึงโลกนี้แล้วต้องการที่จะกลับไปยังโลกเดิมของเขานั้นเป็นเรื่องที่โง่เง่า
สิ่งเดียวทีเขาสามารถทำได้ก็คือยอมรับความจริงและใช้ชีวิตของเขาให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ในขณะที่เขากำลังพยายามทำให้ดีที่สุดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าใจของเขาจะรู้สึกผ่อนคลาย
เพราะว่าเขานั้นมักจะกดดันตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งหลิงเทียนก็รู้สึกว่าตัวเขาไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดและการที่ต้องอดทนนี้แม้แต่ญาติสนิทของเขาก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงเทียนจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเขาเองจนกว่าจะตายแน่นอนเพราะว่าความลับเหล่านี้ความลับสุดยอดของเขาเพียงคนเดียว
การข้ามผ่านมายังโลกนี้ด้วยจิตวิญญาณของเขา
! และยังนำความทรงจำของเขาผ่านมาอีกด้วย ! ความรู้สึกแบบนี้ไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย ; เพียงแค่ส่วนหนึ่งของความเหงาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครสักคนกลายเป็นบ้า
!
ในอดีตเมื่อหลิงเทียนนั้นรู้สึกเบื่อ
เขาก็จะมักจะเข้าเว็บเพื่อไปอ่านนิยายที่เกี่ยวกับการข้ามไปโลกอื่นและหมกมุ่นไปกับพวกมัน
ยังไงก็ตามตอนนี้หลิงเทียนเข้าใจแล้วว่าเรื่องพวกนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย
มันเป็นเหตุการณ์ที่สุดแสนจะเจ็บปวด !
หลิงเทียนหายใจเข้าลึกๆ
สายตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่มากมายไม่ว่าจะความคิดถึง,ความโกรธ,ความสุข,ความอึดอัด,ความเหงา,ความสำราญใจ…
มีหลายร้อยความรู้สึกที่แตกต่างกัน !
ถ้าหากมีใครสักคนได้เห็นฉากนี้
พวกเขาจะได้เห็นว่าอารมณ์ที่แสดงผ่านสายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตที่แท้จริง
!
เมื่อปิดตาลง
หลิงเทียนบังคับให้น้ำตาที่กำลังจะไหลให้มันกลับขึ้นไป ไม่ว่าจะยังไงในสถานกาณ์ปัจจุบันนี้มีเวลาให้เขาได้รู้สึกอ่อนไหวเพียงน้อยนิด
เขามีอีกหลายสิ่งที่มากมายต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้ !
ทันใดนั้น
ในใจหลิงเทียนก็รู้สึกหดหู่ในขณะที่เขารู้สึกอะไรบางอย่าง ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นตามมาด้วยเสียงของสาวใช้ที่อยู่นอกห้องของเขากำลังแสดงความเคารพอย่างสุดขีด
มีเสียงอ่อนโยนเอ่ยคำถามขึ้นมาเบาๆ หลิงเทียนยิ้มขมขื่นออกมาก ; ดูเหมือนว่ามารดาของเขาชูถิงเอ๋อร์จะมาเพื่อตรวจดูเขา