ตรงหน้าของหลิงเทียนนั้นมีโต๊ะยาวและบนโต๊ะนั้นมีสิ่งของวางอยู่มากมายจนนับไม่ได้
ครึ่งนึงของโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยดาบ หอก ธนูและสรรพวุฒิมากมาย เหล่าผู้คนทั้งหลายกำลังคาดหวังว่าหลิงเทียนจะหยิบจับสิ่งของอะไรขึ้นมา
‘ หวังว่าเขาจะกลายเป็นจอมพลที่ยิ่งใหญ่เหมือนบิดาของเขา
’ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนในตระกูลหลิงคิด
ในขณะที่หลิงเทียนนั้นได้มองผ่านสิ่งเหล่านี้ไป
เขาเข้าใจความหมายของพวกมันทั้งหมดอยู่แล้ว กลายเป็นจอมพลในอนาคตงั้นหรือ ? หลิงเทียนไม่คิดเรื่องไร้สาระพวกนี้แม้แต่น้อย
ตั้งแต่ที่สวรรค์ให้โอกาสข้าอีกครั้ง
ข้าจะพอใจเพียงแค่เป็นจอมพลในประเทศเล็กๆนี้ได้อย่างไร?
อีกครึ่งฝั่งที่เหลือของโต๊ะ
สิ่งของพวกนั้นดูไม่มีนัยสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย พวกมันเป็นเพียงแค่สิ่งของที่จำเป็นสำหรับนักปราชญ์หรือพวกนักวิชาการ
เช่นแปรงเขียนตัวอักษร น้ำหมึกและอื่นๆ แม้กระทั่งมีตราประทับเล็กๆอยู่บนโต๊ะ
หลิงเทียนช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแบบขมขื่น ; ของพวกนี้ไม่มีอันใดให้ข้าสนใจเลยแม้แต่น้อย
ร่างเล็กๆของขายืนอยู่บนยอดของโต๊ะขนาดยักษ์นี้พลางกวาดสายตามองสิ่งของทั้งหมด
แต่เขาไม่ได้หยุดที่สิ่งของใดๆเลยเขาทำแค่เพียงมองผ่านพวกมันทั้งหมดไป
ทุกๆคนต่างจ้องมองไปยังเด็กตัวเล็กๆด้วยความสนใจในขณะเดียวกันสายตาของพวกเขาก็ตื่นตระหนกเมื่อเด็กน้อยไม่ได้สนใจสิ่งของเบื้องหน้าเลย
! ; แล้วเขาต้องการอันใด ?
นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิด
ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่เคยเข้าร่วมกับงาน
“ขวบปีเลือกสรรค์” ก็หลายครั้ง
หลายๆคราที่ผ่านมาเด็กทุกคนมักจะต้องเลือกสิ่งของมาอย่างนึงแน่นอน
แม้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นจะไม่ชอบมันก็ตามอย่างน้อยเด็กคนๆอื่นก็ยังหยิบสิ่งของบางอย่างขึ้นมาเล่นราวกับของเล่นก่อนที่มันจะวางลงไป
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเด็กที่ไม่สนใจสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนคิดในใจของพวกเขา ; เขาเหมาะสมแล้วที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของตระกูลหลิง
เขาช่างดูสงบและเยือกเย็นแม้จะยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม
มเหสีหลิงหลานปล่อยขององค์จักรพรรดิและค่อยๆย่องมาหาหลิงเทียน
นางเดินเข้าไปยืนข้างๆของชูถิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมา
นางมองไปยังหลายชายของนางก่อนจะถาม “ เทียนเอ๋อ นี่เจ้าจะไม่เลือกอะไรเลยงั้นรึ ? ”
ชูถิงเอ๋อร์มองไปที่ลูกชายของนางด้วยความหดหู่ก่อนจะคิดในใจกับตัวเอง
; เด็กน้อยของแม่
เจ้าต้องเลือกอะไรสักอย่างนะ ! ; นางเริ่มกระวนกระวายใจจนอยากจะเข้าไปเลือกอะไรสักอย่างแทนลูกชาย
ครู่ต่อมา
สายตาของหลิงเทียนก็เป็นประกายเมือเขามองไปยังเอวของหลิงหลาน ซึ่งตรงเอวของนางนั้นมีถุงหอมห้อยอยู่
! สายตาของหลิงเทียนเต็มไปด้วยความยินดีก่อนที่เขาจะวิ่งไปหาป้าของเขา
หลิงหลานร่าเริงขึ้นมาในทันที
“ หลิงเทียนน้อย
เจ้าต้องการสนิทกับป้าที่รักของเจ้าใช่มั้ย ฮ่าๆๆ ! อ๋าห์ ? ”
ก่อนที่นางจะหัวเราะจบ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของนางพลันกลายเป็นตกตะลึง
! นางยืนมองไปที่หลิงเทียนที่กระชากถุงหอมไปจากเอวของนาง !
มือนุ่มๆเล็กๆของเขาคว้าไปที่ถุงหอมแน่นและไม่ยอมปล่อยมือ ! ในเวลาเดียวกันนี้เขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ ข้า…ต้องการสิ่งนี้! ”
ใบหน้าของหลิงซานเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที
! เขาจ้องไปที่หลิงซานอย่างรุนแรงและแทบจะอยากโยนลูกสาวของเขาซึ่งเป็นมเหสีออกไปด้วยหมัดสักหมัดนึง
หลิงซานเคยเห็นนายน้อยจากหลากหลายตระกูลสามัญที่หยิบถุงหอมหรือสิ่งที่คล้ายๆกันนี้ในระหว่างพิธี
“ขวบปีเลือกสรรค์” ทุกคนที่ขว้าหยิบถุงหอนนั้นมักจะถูกเยาะเย้ยจากบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลอย่างไร้ความปราณี
! เพราะมันคือเครื่องหมายของความเสเพล ! ในวันนี้เขาก็กังวลว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้จะเลือกอะไรบางอย่างที่คล้ายกับเจ้านี่ดังนั้นวันนี้เขาจึงสั่งให้ทุกคนโยนสิ่งของพวกนี้ทิ้งไปเพราะเขาเกรงว่ามันจะกลายเป็นตัวตลก
เขาจึงสั่งให้สตรีทุกนางในตระกูลถอดถุงหอมออกให้หมดในวันนี้ อ๋องหลิงเป็นคนที่พิถีพิถันมากในการวางแผนและไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าเขาจะรอบคอบแค่ไหน
สิ่งเดียวที่เขาลืมนึกถึงไปก็คือลูกสาวของเขาผู้ที่มาจากพระราชวัง วันนี้พูดได้ว่าหลิงหลานเป็นผู้เดียวที่มีถุงหอมเพียงคนเดียวในคฤหาสถ์ตระกูลหลิงนี้
! นี่มันบังเอิญเกินไป !
เหล่าขุนนางที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนี้
พวกมันพยายามอดกลั้นอย่างมากไม่ให้หัวเราะออกมา ! แม้แต่จักรพรรดิหลงเซี่ยงที่ไม่พอใจจักรพรรดินีก่อนหน้านี่ยังช่วยไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา
มองไปยังสีหน้าและอารมณ์บนใบหน้าของหลิงซานตอนนี้ทุกๆคนก็พบว่ามันยากที่จะกลั้นเสียงหัวเราะออกมา
บางที นี่คงเหมือนคำที่ว่าอัจฉริยะมักจะตกตายด้วยความฉลาดของตัวเอง !
พอขุนนางทุกคนพบว่าทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียวที่มีถุงหอมจึงรู้สึกแปลกใจ
ถ้าหากว่ามีเพียงหนึ่งหรือสองคนที่ไม่มีถุงหอมนั่นก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
แต่บัดนี้เป็นทุกคนที่ไม่มีถุงหอม
เหล่าขุนนางจึงรู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติแน่แล้ว
แต่ถึงแม้พวกเขาจะรู้นี่เป็นกลโกงของตาแก่หลิงซานแต่ก็ทำได้เพียงสาปแช่งตาแก่นี้แบบเงียบๆ
ใครเล่าจะกล้าเปิดเผยมันออกมา ?
ถ้าหากว่าตระกูลหลิงวางถุงหอมในบนโต๊ะอย่างเปิดเผยและหลิงเทียนหยิบมันขึ้นมา
ทุกๆคนก็คงจะหยอกล้อเพียงชั่วครู่และลืมมันไป แต่บัดนี้กลับไม่มีถุงน้ำหอมแม้แต่ชิ้นเดียวในคฤหาสน์ตระกูลที่ทรงอำนาจอย่างตระกูลหลิงที่มีประชากรมากกว่าพันคน
หลิงเทียนก็ยังคงคว้ามันไว้ได้อย่ากระทันหัน ! นอกจากนี้ยังเป็นถุงหอมที่เป็นของตัวพระมเหสีเองด้วย ! มองไปที่ใบหน้าเล็กๆของหลิงเทียนที่เริ่มแดงจากการกอดถุงน้ำหอมอย่างแน่หนาราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า
ทุกๆคนช่วยไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังกว่าเดิม !
ใบหน้าของชูถิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอาย
นางเดินไปข้างหน้าและพยายามแย่งถุงหอมออกมาจากหลิงเทียนแต่นางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าหลิงเทียนกอดมันไว้แน่นหนาซึ่งเธอก็ไม่อาจแย่งมันกลับมาได้
! เมื่อมองไปที่ภรรยาและลูกชายที่กำลังแย่งชิงถุงหอม
หลิงเซียวช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแม้ว่าเขาจะโกรธ “ ลืมมันไปเถอะ
ถ้าหากมันต้องการ ก็ปล่อยให้มันถือไว้ ” พอพูดจบเขาก็หายใจเข้าลึกๆและรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
แม้ว่าประเพณี “ ขวบปีเลือกสวรรค์ ” นั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของคนผู้หนึ่ง
แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อในเรื่องนี้ พวกเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยสุขและเต็มไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่เคยโดนเยาะเย้ยโดยหลิงซานและบุตรชายของมัน
หลิงซานถอนหายใจอย่างรุนแรงก่อนจะชี้ไปที่หลิงซานด้วยความขุ่นเคืองด้วยมือที่สั่นสะเทือนไปด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยโทสะ
หลังนั้นเขาก็กัดฟันและไม่พูดอะไรพร้อมกับจากไป ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช้เรื่องๆเล็กๆสำหรับตาแก่ผู้นี้และเขาคงจะไม่มาร่วมงานเลี้ยงหลังจากนี้แน่นอน
หลิงเซียวช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งในใจของเขา ; ถ้าบิดาไม่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงอย่าบอกนะว่าข้าจะต้องแบกรับความอับอายนี้เพียงคนเดียว
? ; สีหน้าของหลิงซานมืดลงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
จักรพรรดิหลงเซี่ยงแทบจะสำลักจากการหัวเราะของเขา
“ นี่มันก็ล่วงเลยเวลามามากแล้วและเราก็เริ่มหิวแล้วสิ
" จากคำพูดของเขามันเป็นการแสดงให้เห็นเป็นนัยๆว่างานเลี้ยงของตระกูลหลิงนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ขุนนางทุกคนเริ่มเฉลิมฉลองด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่หลิงหลานตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกนี้นางก็รู้ว่านางได้สร้างปัญหาให้กับบิดาของนางแล้ว
คิดถึงใบหน้าของบิดาที่กลายเป็นดำคล้ำด้วยความโกรธเกรี้ยวตอนเขาจากไป
ในใจของนางก็เต้นระรัว เดิมทีนางต้องการหลีกเลี่ยงบิดาของนางและหนีกลับพระราชวัง
แต่ยังไงก็ตามหลิงเทียนเกาะติดนางราวกับหมีโคอาล่าและกำถุงหอมของนางแน่นไม่ยอมปล่อย
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เขาปล่อยมือออกจากนางตอนนี้ นางทำได้เพียงกอดหลิงเทียนไว้อย่างไร้หนทาง
ด้วยเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ นางทำได้เพียงบ่นในใจ ; เพื่อนตัวน้อย…เพื่อนตัวน้อย
เจ้าสร้างปัญหาใหญ่ให้กับป้าแล้ว ;
ในงานเลี้ยง
หลิงหลานนั่งอยู่ข้างจักรพรรดิหลงเซี่ยง แม้ว่านางจะมีสถานะสูงส่งที่จะนั่งหัวโต๊ะ
แต่ก็เลือกที่จะไม่นั่งและหลีกเลี่ยงมันราวกับว่ามีเข็มกำลังรอทิ่มแทงนางอยู่ใต้เก้าอี้
นางเกลียดความเป็นจริงที่ว่านางไม่สามารถกลายเป็นลมและลอยหายออกไปจากงานเลี้ยงได้
เหล่าขุนนางรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถไปไหนได้
! ไม่เพียงแค่ได้เป็นพยานในการปะทะคารมกันระหว่างสองผู้นำตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลิงและตระกูลหยาง
แต่ยังคงได้เห็นฉากอันน่าตื่นเต้นจากจักรพรรดินี
นอกจากนี้พวกเขาเกือบจะได้เห็นหลิงซานต้องทนทุกข์ทรมารจากยาของตัวเอง [ TL : ประสบปัญหาจากการกระทำของตัวเอง
] หลังจากหัวเราะใส่เด็กน้อยก่อนในที่สุดจะถูกหลานชายของตัวเองคว้าถุงหอมของตนไป
; ถุงหอมที่มีเพียงอันเดียวในคฤหาสน์ ! ;
ด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้น
ใบหน้าของเหล่าขุนนางนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บทสนทนาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนานผสมกับฤทธิ์ของสุราทำให้เรื่องราวเข้มข้นยิ่งขึ้น
ภายในห้องโถง เหล่าขุนนางต่างร่วมดื่มและสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ถึงแม้ว่าจะมีจักรพรรดิและมเหสีอยู่ในห้องโถงหลักนี่ด้วยก็ตาม
สำหรับหลิงเทียนผู้ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานนั้นถูกจับกลับไปที่ห้องเพื่อสอนบทเรียนโดยมารดาของเขา
ชูถิงเอ๋อร์
หลังจากที่ดื่มไวน์ไปไม่น้อย
อารมณ์ของหลิงหลานก็ค่อยๆสงบลงและเริ่มบังคับตัวเองให้เริ่มกินอะไรบางอย่าง มองไปที่จักรพรรดิหลงเซี่ยงซึ่งกำลังจะกินอาหารของตนนางเริ่มสะอื้นและตื้อให้จักรพรรดิพานางกลับไปยังพระราชวัง
หลงเซี่ยงปกติก็หลงไหลในพระมเหสีของตนอยู่มากและเป็นธรรมดาว่าเขาต้องรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไรดังนั้นเขาจึงตอบรับโดยไม่ลังเล
แต่ก่อนที่เขาจะประกาศว่ากำลังจะกลับ
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าของเขา
“ นายหญิงใหญ่บอกว่านางไม่ได้เจอพระมเหสีนานแล้วและทางคิดถึงท่านเป็นอย่างมาก
นายหญิงใหญ่จึงหวังว่าองค์จักรพรรดิจะอนุญาตให้มเหสีอยู่ที่คฤหาสต์ตระกูลหลิงไปอีกสักสองสามวัน
”
หลิงหลานเริ่มใจหายและใบหน้าของหน้าเริ่มซึมจนน้ำตาเกือบจะไหล
หลงเซี่ยงทำได้เพียงหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นก่อนจะมองไปที่นางอย่างหมดหนทาง “ เมื่อท่านหญิงใหญ่ขอมาเช่นนี้ งั้นก็ให้เสี่ยวหลานอยู่ที่นี่สักสองสามวันก็แล้วกัน
เราจะส่งคนมาพาเจ้ากลับพระราชวังในอีกสองสามวันก็แล้วกัน ” จากนั้นเขาก็สั่งหลิงเซียวที่กำลังหน้าแดงจากฤทธิ์ของสุรา
“ หลิงเซียว ข้าอนุญาตให้พระมเหสีอยู่ที่คฤหาสต์
ตอนนี้เราขอตัวกลับไปยังพระราชวังก่อน ลุงหลิงดูอารมณ์ไม่ดีในตอนนี้
เจ้าช่วยข้าบอกลาเขาด้วยก็แล้วกัน ” หลังจากนั้นหลงเซี่ยงก็หัวเราะและเดินจากไป
เมื่อมองไปที่จักรพรรดิที่กำลังจากไป
อารมณ์ของหลิงหลานก็พังยับเยิน นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามสาวใช้ผู้นี้ไป การเดินของนางเชื่องช้าราวกับผีดิบ
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น
ทุกๆคนในห้องโถงพลันหันไปมองต้นเสียงก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน