บทที่ 9 ผู้นำตระกูลหยาง





*** ขอเปลี่ยนจากจักรวรรดิเป็นอาณาจักรแทนนะครับ ***



นับตั้งแต่ที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในเปล หลิงเทียนก็รู้สึกหลงรักมันราวกับว่าเขาได้กลับไปมหาสมุทรอีกครั้ง มันเป็นสิ่งเดียวในชาติที่แล้วที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ เวลาที่เขาได้นอนอยู่ในเปลมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังนอนอยู่บนเรือยอร์ชพร้อมกับมองพระอาทิตย์ที่กำลังร่วงหล่นจากฟากฟ้าและรู้สึกถึงคลื่นที่กระทบกับเรือไปมา ( TL : สาวใช้แค่เขย่าเปล เล่นซะเวอร์เลยพระเอกตู ) ดังนั้นทั้งปีนี้หลิงเทียนจึงใช้เวลาเกือบครึ่งนึงในการนอนอยู่ในเปล


เทียนเอ๋อที่รักของแม่ ” เสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นมาทำให้มุมปากของเขาค่อยฉีกกว้างขึ้นด้วยความสุขจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูสดใส ด้วยมือที่ดูละเอียดอ่อนราวกับหิวมะและนุ่มราวกับฝ้ายชั้นดีซึ่งกำลังดึงตัวเขาเข้าสู้อ้อมกอก มองขึ้นไปบนใบหน้าที่อ่อนโยนและอบอุ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก นี่คือมารดาของหลิงเทียน ชู ถิงเอ๋อร์ … ข้างๆนางปรากฏชายวัยกลางคนซึ่งดูมีอายุประมาณ 30 ปีด้วยใบหน้าที่คมเข้มและดูเด็ดเดี่ยว ‘ อืมมมม เขาก็ดูหน้าตาดีเหมือนกันนะ ’  รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและดูผ่อนคลายปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ และท่าทางของเขาก็ดูเต็มไปด้วยความพึงพอใจซึ่งสามารถมองเห็นได้ในตาของเขา นี่คือพ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ครอบครองอำนาจทางการทหารของอาณาจักร จอมพลหลิงเซียว


หลิงเซียวค่อยๆลูบไปที่ใบหน้าทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของมารดาและจูบไปที่ใบหน้าของหลิงเทียนอย่างแผ่วเบา แต่เคราของหลิงเซียวทิ่มแทงไปที่ใบหน้าของเขาราวกับกำลังถูกเข็มเหล็กทิ่มแทง มันทำให้หลิงเทียนรู้สึกเจ็บปวดเบาๆ ซึ่งทำให้หลิงเทียนจ้องไปที่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ


“ ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กน้อยนี้ดูเหมือนจะไม่พอใจ อืมมมมม … ข้าจะทำให้มากขึ้นถึงเจ้าจะไม่ชอบมันก็ตาม ฮ่าฮ่า ! ” หลังจากที่เขาพูด หลิงเซียวก็บรรจงจูบไปที่หน้าของเขาอีกสองครั้ง หล้าของหลิงเทียนตอนนี้แทบจะเต็มไปด้วยน้ำลาย


ชู ถิงเอ๋อร์พลักสามีของนางไปด้านข้างก่อนจะพูด “ ชิ้ว ๆ ไปไกลๆเลย เคราของเจ้ามันแข็งเกินไปและมันกำลังทำให้ลูกเจ็บ ”


“ ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นเช่นนั่นเองหรือ ? แล้วทำไมเมื่อคืนเจ้าไปบอกเล่า ? ( TL : ทำไรกันอ่ะ ) ฮิฮิอั้ยหยา! ” หลิงเซียวพูดออกมา ทำให้ชูถิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆหน้าแดงซ่านพร้อมกับฟาดมือไปที่เอวของเขาด้วยความโกรธปนอับอายหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องชำเลืองตามองก็รู้ว่าหน้าตาของบิดาของเขาตอนนี้อนาถแค่ไหนหลังจากถูกมารดาของเขาทุบตี พอเห็นเหตุการณ์นี้เขาก็เข้าใจในคำพูดที่เขามักจะได้ยินเมื่อชาติที่แล้ว ‘ ความรักและความเจ็บปวดมักจะมาคู่กันเสมอ ’



“ ลูกชายของเรายังอยู่ตรงนี้ แต่เจ้ายังกล้าพ่นเรื่องไร้สาระออกมา ? นี่เจ้ากลายเป็นพ่อคนแล้วนะ ! ” ชูถิงเอ๋อร์ตำหนิหลิงเซียวด้วยความฉุนเฉียว


“ ฮี่ฮี่ เป็นไปไม่ได้หรอกที่เด็กตัวเล็กๆจะรู้เรื่องแบบนี้ ? เจ้าไม่เห็นด้วยกับข้างั้นหรือใช่มั้ยเจ้าลูกชาย ? ” หน้าหล่อๆของหลิงเซียวชะโงกมาหาหลิงเทียนก่อนจะกระพริบตาเจ้าเล่ห์ให้กับเขา


 ฮึ่ม ! อา~…ยะ..หยุดกวนได้แล้ว ! ” จู่ๆเสียงของชู ถิงเอ๋อร์กลายเป็นนุ่มนวลและกระเส่ามากขึ้น หลิงเทียนมองขึ้นไปยังหน้าอกที่อวบอั๋นและใหญ่โตของนางที่กำลังถูกนวดคลึงอย่างเร่าร้อนจากมือหนาๆของหลิงเซียว


ทันใดนั้นหลิงเทียนเต็มไปด้วยความโมโห ! ‘แม่งเอ้ย ! … นี่พวกเจ้ากล้าเล่นสนุกและทำอย่างกับว่าข้าไม่มีตัวตนด้วยฉากอันร้ายกาจเช่นนี้และทำร้ายจิตใจชายหนุ่มผู้นี้ในที่สาธารณะ ?  หลิงเทียนขว้าไปที่มือที่เต็สไปด้วยตัณหานั่นและดึงมันออกไป


“ ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิเจ้าลูกชายกำลังโกรธข้าที่ล่วงล้ำอาณาเขตของเขา โฮะๆ ! ” เสียงหัวเราะที่ดูสนุกสนานและแจ่มใสดังลั่นไปทั่ว


หน้าอกของนางในที่สุดก็ได้รับอิสระใบหน้าของชู ถิงเอ๋อร์แดงซ่านด้วยความอับอายก่อนจะพูดกึ่งหัวเราะ “ เจ้าคนชั่วร้าย ! ” การแสดงออกของนางทำให้จิตวิญญาณของหลิงเซียวรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจก่อนที่หลิงเซียวจะโอบไปที่เอวเรียวเล็กของนางและยื่นหน้าเข้าไปหานาง


“ โครกกกก ! ” เสียงประท้วงดังออกมาจากกะเพาะของหลิงเทียนทำให้มารดาของเขากระชับอ้อมกอดมากขึ้น


“ ฮ่าๆๆๆ ! เจ้าเด็กน้อยคนนี้ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก! ” ครั้งนี้ทั้งมารดาและบิดาของหลิงเทียนต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน


หลิงเทียนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่คนผู้นั้นจะพูด “ นายท่านนายหญิงแขกได้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ นายใหญ่ได้ขอให้นายท่านกับนายหญิงไปพบด้วยเจ้าค่ะ ” เป็นเสียงอันนุ่มนวลของสาวใช้หน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคู่สามีภรรยาคู่นี้


“ ตกลง, ข้าเข้าใจแล้ว ไปบอกนายใหญ่ว่าเราจะไปที่นั่น ”


“ โอ้ พระเจ้า นี่คงจะเป็นนายน้อยใช่มั้ย? ตั้งแต่ที่ชายแก่ผู้นี้ออกมาจากเมืองหงส์เพลิงร่ำร้อง ( Pheonix Cry ) ในปีนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเด็กน้อยผู้นี้! นี่คือเป็นเพียงสิ่งของเล็กๆน้อยๆจากข้า มันไม่ได้มีค่ามากนักแต่โปรดรับไว้ ” หลิงเซียวและชู ถิงเอ๋อร์ได้อุ้มลูกของพวกเขาเดินเข้ามาในห้องโถงหลักทันใดนั้นก็มีหยกสีเขียวที่ดูงดงามและมีสเน่ห์ลอยอยู่ตรงหน้าของหลิงเทียนตัวน้อย


“ ท่านหวังเดินทางมาจากอาณาจักรอื่นด้วยความยากลำบาก แล้วข้าจะรับของขวัญที่มีค่านี้ได้อย่างไร? ได้โปรดเก็บของขวัญของท่านไว้เถอะ  หลิงเซียวตอบกลับด้วยความสุภาพ


ท่านหวังคนนี้เป็นชายชราที่มีเคราสีขาวหิมะและทั้งร่างปกคลุมไปด้วยชุดคลุมยาว ทั้งผมและเคราของเขาถูกตัดแต่งอย่างพิถีพิถันและมันดูเหมือนกับว่าเขาจ่ายไปมากกับมัน หลิงเทียนค่อยๆเปิดตาของเขาและก็มองเห็นท่านหวังแสดงความไม่พอใจออกมา


“ ฟังจากคำพูดของจอมพลหลิงดูเหมือนท่านจะเข้าใจผิด นี่เป็นของขวัญที่มอบให้ในวันเกิดปีแรกของลูกชายของท่าน มันไม่ใช่เพื่อจอมพลหลิง ด้วยการที่มีเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรอยู่ด้วยมากมายที่นี่ จอมพลหลิงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกกล่าวหาว่ารับสินบน ! ” ฝูงชนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจากคำพูดของชายแก่


‘ เขาต้องล้อเล่นแน่ๆ หลิงเซียวปัจจุบันเปรียบดั่งแขนขาของอาณาจักร ด้วยอำนาจการทหารที่เขาครอบครองนับหมื่นนับแสน ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะถูกล่อลวงด้วยความโลภ แต่ใครเล่าจะกล้ากระตุกหนวดเสือ? กล่าวหาว่าเขารับสินบน ? เจ้าคนผู้นั้นคงต้องเบื่อที่มีชีวิต ! ’ เหล่าเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรต่างคิดเงียบๆกับตัวพวกเขาเอง ‘ เจ้าแก่หวังนี่ทำให้พวกเราทุกคนเหงื่อตกด้วยมุขตลกของมัน ! ’


ฮ่าๆๆ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคงจะการไม่ให้เกียรติหากว่าข้าปฏิเสธของขวัญจากท่าน งั้นข้าขอรับของขวัญของท่านแทนลูกชายของข้าไว้ก่อนแล้วกัน ” หลิงเซียวทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา


“ ไม่ๆ นี่มันตรงกันข้ามเลย ท่านจอมพลช่างให้เกียรติข้ายิ่งนัก ! ” หลิงเทียนหรี่ตาของเขา ‘ ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้ต้องการประจบประแจงบิดาของเขา ถ้าอย่างนั้นชายคนนี้คงจะไม่ใช่ศัตรู ’


“ เด็กน้อยนี่มีนามว่าอะไรรึ? ” ชายชราผมขาวอีกคนเคลื่อนที่เขามาก่อนจะถาม หลิงเทียนถึงกับตกใจ แน่นอนว่าเขาเพิ่งจะอายุหนึ่งปีแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าเรียกเขาว่า เด็กน้อยต่อหน้าปู่และบิดาของเขา… ‘ ดูเหมือนชายชราคนนี้จะไม่ธรรมดา ! ’


 ฮิฮิ ตาแก่หยาง ชายชราผู้นี้เป็นคนเลือกนามของหลายชายของข้า เขามีนามว่าหลิงเทียน เป็นนามที่ยอดเยี่ยมใช่มั้ย? ” ปู่ของเขา, หลิงซาน ยืนขึ้นพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา หลังจากที่เขาได้ฟังดีๆแล้วหลิงเทียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ แม้ว่าหลิงซานจะพูดออกมาด้วยความร่าเริงและเสียงหัวเราะแต่หลิงเทียนก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น ‘ ดูเหมือนว่าตาแก่หยางคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาๆจริงๆซะแล้ว ’


“ แปะๆๆ ! ” ตาแก่หยางปรบมือเบาๆพร้อมกับสรรเสริญ “ ก็ตามนิสัยของเจ้า ปู่หลิง กระทั่งมอบนามที่ยอดเยี่ยมให้แก่หลานของเจ้า ดีเป็นนามที่ยอดเยี่ยม ฮ่าๆๆ! ผู้ปกครองเหนือสรวงสวรรค์ , อืม จะมีนามไหนที่ดีกว่านี้อีก ! ” [1]


หลังจากที่เขาพูดจบ ทั่วทั้งห้องโถงต่างตกอยู่ในความเงียบงัน !


คำพูดของตาแก่หยางอาจกล่าวได้ว่าเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก กระทั่งจักรพรรดิยังเป็นที่รู้จักกันในนามที่หมายถึงสวรรค์ และเมื่อหลิงซานมอบนามให้หลานของเขาว่าหลิงเทียน แม้ว่ามันอาจจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่มันก็อาจจะทำให้หลิงซานกลายเป็นคนบาปได้ (ชื่อของจักรพรรดิแต่ละคนจะมีคำว่าสวรรค์อยู่ดังนั้นชื่อหลิงเทียนเป็นเหมือนกับการท้าทายอำนาจของจักรพรรดิ)


“ ฮิฮิๆ รัฐบุรุษผู้นี้สุภาพเกินไป เช่นเดียวกับนามของหลายชายของเจ้า หยางหวงตาแก่ผู้นี้แทบตกใจจนหัวใจจะวายเมื่อได้ข้าได้ยินเมื่อตอนนั้น ข้าล่ะสงสัยว่าเมื่อใดกันที่ตระกูลหยางให้กำเนิดจักรพรรดิฮ่าๆ ! ” ดวงตาของหลิงซานกลายเป็นประกายราวกับว่าจ้องมองเหยื่อของตน [2]


หลิงเทียนรู้ทันทีเลยว่าเจ้าแก่นี่แท้จริงแล้วคือผู้นำตระกูลหลาง  หยางกงซุน ’ ตระกูลหยางเป็นหนึ่งในหกตระกูลทรงอำนาจในอาณาจักรครองฟ้าซึ่งมีความสามารถที่จะต่อกรกับตระกูลหลิงได้ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นคนเลวในสายตาของหลิงเทียน ไม่น่าแปลกใจที่ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับต้องการหาเรื่องตลอดเวลา !


“ ฮ่าฮ่าฮ่า จากคำพูดของเจ้าตาแก่หลิง มีกฎข้อไหนที่คนธรรมดาถูกห้ามมิให้ตั้งชื่อเด็กที่มีความหมายว่า “ มังกร ” หรือ “ หงส์เพลิง ” หรืออย่างไร? เจ้าก็จ้องแต่จะจับผิดมาเกินไปตาแก่หลิง ! ” หยางกงซุนหัวเราะอย่างร่าเริงพร้อมกับลูบเคราของเขา


“ ฮิฮิๆ ถ้าหากวลีของตาแก่ผู้นี้เป็นการจับผิด แล้วเหตุใดเจ้าจะกล่าวถึงนามของหลานชายของข้าเพื่อ ? ” หลิงซานเต็มไปด้วยความโกรธ เจ้าเฒ่าหยางนี่สารเลวนัก … เมื่อตอนที่หลานชายของมันเกิด หลิงซานไปแสดงความยินดีด้วยความตั้งใจและสุภาพ แต่ไม่เพียงหยางกงซุนจะไม่สำนึกบุญคุณ มันยังเลือกวันเกิดครบหนึ่งปีของหลายชายของเขาเพื่อก่อปัญหาให้กับตระกูลหลิง ! ถ้าหากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาคงจะนำไวน์ชั้นดีที่เขาเตรียมให้หลานของมันไปผสมในหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำซุปเน่าๆก่อนจะส่งไปให้พวกมัน !


ชายชราทั้งสองจ้องมองกันราวกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อและไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมกันแม้แต่น้อย ผู้คนและเหล่าทหารรอบๆต่างมองหน้ากันและไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะความกลัว


ชายแก่สองคนนี้เป็นผู้ทรงพลังในอาณาจักรครองฟ้า เพียงการขยับเท้าแค่ก้าวเดียวของพวกเขาก็สามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนและจะไม่มีผู้ใดที่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้หนึ่งคือหัวหน้าตระกูลหลิง ดยุคอันดับหนึ่งของอาณาจักรนี้ ผู้เป็นบิดาของจอมพล อีกหนึ่งคือหัวหน้าตระกูลหยาง มหาอุปราชคนปัจจุบันของอาณาจักร บิดาของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันและมียศศักดิ์เป็นพ่อตาขององค์จักรพรรดิ !


ถ้าหากว่ามีใครต้องการมองหาความตายด้วยการหยุดและห้ามมพวกเขา มันผู้นั้นคงจะนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวงให้กับตัวเองเป็นแน่ คนที่นั่งใกล้กับชายชราทั้งสองแอบเช็ดเหงื่อเบาๆและเริ่มที่จะถอยห่างออกไป ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่มาแสดงความยินดีเพราะต้องการประจบเพื่อจะได้สร้างสัมพันธ์อันดี แต่พวกเขากลับต้องมาพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างผู้ทรงอำนาจทั้งสองของอาณาจักร เหล่าผู้คนต่างร้องไห้อยู่ในใจเพราะความโชคร้ายของพวกเขา


หยางกงซุนลูบเคราของเขาและพูด “ ตาแก่หลิง ชายชราผู้นี้มาที่นี่เพื่อพูดเล็กๆน้อยๆ แต่พอข้าเพียงพูดว่านามของหลานเจ้าไม่เลว ? ตาแก่ผู้นี้มาที่นี่ด้วยความจริงใจและต้องการแสดงความยินดี แต่ดูเหมือนเจ้าจะตอบแทนน้ำใจนี้ด้วยความเกลียดชัง​ ” [3]


หลิงซานดึงมุมปากของเขาขึ้นมาและยิ้มอย่างเสแสร้ง “ มันเป็นเรื่องจริง ตาแก่หัวโบราณอย่างเราสองคนได้ให้นามที่ดีแก่หลานของเรา แต่ดูเหมือนว่าหลานชายของตาแก่ผู้นี้ดูจะเฉิดฉายกว่าของเจ้านะ….ว้ะ ก่ะๆๆ ”


หยางกงซุนหัวเราะออกมาและตัดสินใจที่จะกลับ “ เจ้าอาจพูดเช่นนั้นได้ แต่ตาแก่ผู้นี้ไม่มีเวลาว่างพอจะมาเปรียบเทียบอะไรไร้สาระกับเจ้าฮึ่ม ข้าต้องดูแลหลานชายทั้งสามของข้าทุกวันยังไม่พอยังมีหลานสาวอีกสองคน หนึ่งนาทีข้าก็ต้องแบกหนึ่งคนต่อไปเรื่อยๆมันทำให้ข้าปวดหลังยิ่งนัก ความยากลำบากที่ข้าต้องเผชิญนี้ไม่เหมือนกับเจ้าตาแก่หลิง เจ้ามีหลานเพียงคนเดียวก็สบายสิแค่แบกเขาไม่กี่ครั้งต่ออาทิตย์ เจ้าแม้กระทั่งมีเวลาในการดูแลสวนสมุนไพรของเจ้า ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา ! ” หลังจากที่หยางกงซุนพูดเขาทุบไปที่เอวของเขาเบาๆด้วยสีหน้าเศร้าโศรกก่อนจะเดินจากไป


แม้ว่าลึกๆหลิงซานจะโกรธมาก แต่เขาก็ไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้ มันเป็นความจริงที่ว่าตระกูลของเขานั้นมีจำนวนน้อยโดยเฉพาะเด็กรุ่นเดียวกับหลิงเทียนซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น “ ต้นกลางเพียงต้นเดียวที่มองเห็นได้ในแปลงที่กว้างกว่าสามพันไมล์ ” [4] คำพูดของหยางกงซุนเห็นได้ชัดเลยว่าตระกูลหลิงนั้นไม่ได้เฟื่องฟูเท่าตระกูลหยางที่มีรุ่นเยาว์มากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้นั้นเป็นความจริงและหลิงซานก็ไม่สามารถต่อกรกับคำดูถูกนี้ได้ เขาทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่ลูกชายของเขาและตำหนิ “ ไอ้คนใช้การไม่ได้ ! ”


หลิงเซียวกำลังโอบกอดภรรยาและลูกในมือทั้งสองข้างของเขาในขณะที่เขากำลังดูชายชราสองคนต่อสู้กันด้วยวาจา จะคาดคิดได้อย่างไรว่าจู่ๆก็มีภัยพิบัติตกลงมาจากฟากฟ้า ? ตอนนี้บิดาของเขากำลังโกรธและจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่ต้องการจะกินเลือดกินเนื้อ หลิงเซียวทำได้แค่หัวหน้าไปข้างๆก่อนจะหดตัวลงและไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาและจมอยู่กับความขมขื่น ถ้าหากว่าบิดาของเขาเกิดแนะนำนางสนมขึ้นมาต่อหน้าผู้คนที่อยู่ที่นี่ล่ะก็เขาต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่แน่นอน !


ใบหน้าของชู ถิงเอ๋อร์แดงด้วยความอับอาบและความโกรธ ก่อนจะเหยียดนิ้วบางและหยิกไปที่สีข้างของสามีของนางก่อนจะบิดเต็มแรง ในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ นางไม่มีสิทธิ์ที่พูดอะไรหากว่านายใหญ่ของตระกูลหลิงต้องการให้สามีของนางมีสนม แต่อย่างไรก็ตามด้านข้างของนางก็มีกระสอบทรายอยู่ดังนั้นนางจึงใช้มันในการระบายอารมณ์ !


หลิงเซียวทำได้เพียงหายใจเข้าออกแรงๆเพื่อกลบความเจ็บปวดที่ได้รับ


ใบหน้าของหลิงเทียนคล้ายว่ากำลังตื่นเต้นจากฉากลุ้นระทึกตรงหน้า เขาเยาะเย้ยอยู่ภายในใจของตัวเอง ‘ ไอ้แก่หยาง ไม่จำเป็นต้องดีใจให้มากนัก ตั้งแต่ที่แกกล้าสบประมาทนายน้อยผู้นี้ ข้าจะทำให้แน่ใจว่าจะส่งหลานชายทั้งสามคนของเจ้าไปในวังเพื่อเป็นขันทีในเวลาไม่กี่ปีและจับหลานสาวทั้งสองคนของเจ้ามาทำเป็นนางบำเรอ แล้วมาดูกันว่าเจ้าจะหยิ่งอยู่อีกไหม ก๊ะๆๆ  (หัวเราะแบบชั่วร้าย)


เมื่อการปะทะคารมระหว่างสองผู้นำจบลงเหล่าผู้คนก็หายใจได้คล่องขึ้น แต่ยังไม่ทันได้หายใจคล่องทุกคนก็ตกอยู่ในความกดดันอีกครั้งเพราะมีเสียงแหบแห้งดังราวกับแผ่นดินไหวมาจากประตูหน้า


“ องค์จักรพรรดิและองค์จักรพรรดินีเสด็จแล้ววว ! ”



[ TL : จนถึง 11 ตอนแลวก็ยังไม่ไปไหน เวิ่นเว้อมาก ] 


[1] นามสกุลหลิง ในชื่อของหลิงเทียนมีความหมายอีกอย่างว่า สูงส่งหรือสูงขึ้น ในกรณีนี้พอผสมกับชื่อ เทียน” ที่หมายความว่านภาหรือสวรรค์ ชื่อของหลิงเทียนเลยหมายความว่าผู้สูงส่งยิ่งกว่าสวรรค์ (ในที่นี้ขอเรียกว่าผู้ปกครองเหนือสวรรค์นะครับเพื่ออรรถรส)


[2] คำว่า “ หวง ” ในชื่อของหยางหวงเป็นคำพ้องเสียงที่คล้ายกับคำว่าจักรพรรดิ ดังนั้นปู่ของหลิงเทียนจึงบอกว่าชื่อตระกูลหยางตั้งชื่อเด็กนี่ให้คล้ายกับจักรพรรดิซึ่งเป็นเหมือนการดูหมิ่น


[3] ความจริงประโยคที่ว่า ตอบแทนน้ำใจนี้ด้วยความเกลียดชัง” ความจริงแล้วมันบอกว่า ดั่งสุนัขกัด ลู่ตงบิน ” ต้นฉบับจีนบอกว่า "狗咬,好人心" ซึ่งมันพยายามจะบอกว่า สุนัข (เปรียบเป็นคน) ไม่สามารถมองเห็นความตั้งใจของคนที่ดีและกัดมือของผู้ที่ให้อาหารมัน


[4] “ ต้นกลางเพียงต้นเดียวที่มองเห็นได้ในแปลงที่กว้างกว่าสามพันไมล์ ” แท้จริงแล้วมันหมายความว่าหลิงเทียนเป็นเพียงเด็กคนเดียวในรุ่นของเขาที่เกิดมา ***  1 ไมค์ของจีนแค่ 500 เมตรเท่านั้น ***