บทที่ 3.2 สะพานไน่เหอ [2]




รอยยิ้มที่น่าหลงใหลปรากฏขึ้นบนหน้าของหลิงเสวี่ยเอ๋อ “ พี่เทียน พี่รู้ไหมหลังจากเหตุการณ์วันนั้นฉันก็ฝันร้ายตลอดทั้งปี ฉันฝันว่าพี่นั้นยืนอยู่ตรงหน้าฉันไม่ว่าฉันจะตื่นหรือหลับ พี่รู้ไหม ? ฉันถูกพี่ทรมานจนฉันแทบจะเป็นบ้า ! ฉันแอบวิ่งไปเจอพี่ในบางครั้งแต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปยืนต่อหน้าพี่ ฉันกลัวฉันกลัวว่าพี่จะมองฉันด้วยความเหยียดหยาม แต่ตอนนี้ฉันโครตจะรู้สึกสบาย ฉันได้ใช้หนี้ให้พี่หมดแล้วและฉันก็ไม่ต้องจมอยู่กับฝันร้ายอีก ความรู้สึกตอนนี้ฉันมีความสุขมาก ! ” ขณะที่เธอพูดรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายก็ปรากฏบนหน้าของเธอ


หลิงเทียนถึงกับตกตะลึงไปพักนึงก่อนจะเรียกสติคืนได้ “ ไม่น่าเชื่อว่าเธอยังรู้จักคำว่ารู้สึกผิด 


หลิงเสวี่ยเอ๋อร์ตอบกลับด้วยความพอใจ “ พี่ไม่จำเป็นต้องประชดกันขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้เราทั้งคู่เหมือนกันแล้ว แม้ว่าฉันจะคืนหนี้พี่แล้วก็ตาม แต่ฉันยังรู้สึกว่ายังติดหนี้พี่อยู่เลย ฮ่าฮ่าฮ่า… ” หลิงเสวี่ยเอ๋อร์ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข “ พี่รู้ไหมว่าฉันไม่เต็มใจและหงุดหงิดมากแค่ไหนที่จะต้องแต่งงาน ? พี่รู้รึเปล่าว่าฉันเกลียดไอ้เจ้าหวงเจี่ยหยุน ? ตอนนี้ฉันเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ฉันมีความสุขมาก มีความสุขมากจริงๆ ! ”


“ ถ้าเธอไม่เต็มใจและเกลียดมันแล้วทำไมเธอต้องยอมรับที่จะแต่งงานกันมันล่ะ ? 


ราวกับว่าหลิงเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกตกใจที่หลิงเทียนถามแบบนั้น เธอมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามขณะบ่นต่อว่า “ ทำไมล่ะ? ก็เพื่อตระกูลไง เพื่อความทะเยอทะยานของตระกูล ตั้งแต่ที่ฉันกลายเป็นลูกสาวของตระกูล โชคชะตาของฉันก็ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว...เพื่อตระกูลแล้วฉันถึงต้องเสียสละตัวเองเพราะฉันไม่มีความกล้าพอที่จะทรยศตระกูลไงล่ะ ! ” หน้าของเธอยังปรากฏรอยยิ้มที่ดูซุกซน  โชคดีที่พี่กำจัดทุกปัญหาของฉันออกไปด้วยระเบิด ฮ่าฮ่า … ถ้าหากว่าฉันได้ไปเกิดใหม่ ฉันอยากจะอยู่บนภูเขาและเกิดเป็นลูกสาวของตระกูลนักล่าธรรมดาๆ ฉันไม่ต้องการที่จะเกิดในตระกูลแบบนี้อีก ! ”


หลิงเทียนกลายเป็นนิ่งเงียบ ทั้งสองคนยืนมองหน้ากันด้วยความเงียบก่อนที่หลิงเสวี่ยเอ๋อร์จะโค้งตัวลงพร้อมกับพูด “ พี่เทียน ขอบคุณนะ ถ้าถ้าหากชาติหน้าฉันได้เกิดในตระกูลเดียวกับพี่ ฉันจะเป็นน้องสาวที่ดีและเอาใจใส่พี่ให้มากที่สุด ฉันจะไปแล้วนะ  หลิงเสวี่ยเอ๋อร์ก็หันหลังกลับและเดินต่อไป แต่แค่ไม่กี่ก้าวเธอก็หยุดและหันกลับมาพร้อมพูดออกมาเบาๆและมองหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังของเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ พี่เทียน … ฉันขอโทษ ! ”


หลิงเทียนเมื่อได้สติก็ยกหัวขึ้นแต่ก็ไม่อาจเห็นหลิงเสวี่ยเอ๋อร์อีกแล้ว เมื่อมองจากระยะไกลฝูงคนยังคงไหลไปอย่างต่อเนื่องแต่หลิงเทียนเพียงยืนอยู่ที่นั่นด้วยหัวใจที่ปวดร้าว


บางทีถ้าเขาได้เห็นสิ่งต่างๆจากมุมมองของหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ แม้ว่าวิธีการในการจัดฉากเพื่อทำลายเขาอาจจะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ แต่ลูกหลานสายตรงของตระกูลหลังอย่างเธอจะปล่อยให้อำนาจตกไปอยู่ในตระกูลสาขาได้อย่างไร ? ช่วงเวลาที่พวกเขาต้องสูญเสียอำนาจ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากคำเย้ยหยันของทั้งตระกูลเป็นแน่ ผลลัพธ์ที่ว่าคงเป็นสิ่งที่ลูกหลายสายตรงไม่สามารถยอมรับได้อย่างแน่นอน


ในช่วงเวลานั้นความเกลียดชังที่หลิงเทียนมีต่อหลิงเสวี่ยเอ๋อร์พลันมลายหายไป สาวน้อยคนนี้ได้รับความอัปยศมากกว่าครึ่งชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล เธอต้องเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของสตรีนั่นคือการแต่งงานกับคนที่เธอเกลียดชัง อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่เขาให้เธอก็คือระเบิดจากสวรรค์ ! ในตอนนี้ความเกลียดชังในใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน


น้องสาวเสวี่ยเอ๋อร์ ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ฉันขอให้เธอเกิดมาในครอบครัวธรรมดาๆและเพลิดเพลินไปกับอิสระให้เธอมีอิสระที่จะรักใครสักคน และแต่งงานกับเขา ขอให้เธอมีความสุขไปกับการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาผูกมัด หลิงเทียนหันหน้าไปยังที่ๆเสวี่ยเอ๋อร์จากไปก่อนเอ่ยคำขอพรของเขา


เป็นครั้งที่หลิงเทียนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าการที่เขาตัดสินใจแก้แค้นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด เขาคิดถึงคำพูดสุดท้ายของหลิงเสวี่ยเอ๋อร์  พี่เทียน ขอบคุณนะ ถ้าถ้าหากในชาติหน้าของฉันได้เกิดในตระกูลเดียวกับพี่ ฉันจะเป็นน้องสาวที่ดีและเอาใจใส่พี่ให้มากที่สุด! 


หลิงเทียนรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจหลังจากได้ยินที่เธอพูด เสวี่ยเอ๋อร์ ถ้าชาติหน้ามีจริงและเราได้เกิดในตระกูลเดียวกัน ฉันก็จะเป็นพี่ชายที่ดีและปกป้องเธอให้ดีที่สุด


ชาติหน้า หลิงเทียนจำคำนี้ให้ขึ้นใจตั้งแต่ที่เขาได้มาอยู่สะพานไน่เหอและตำหนักโอฆสงสาร[1] ฉะนั้นแล้วมันต้องมีหนทางได้เกิดใหม่แน่ ! พอครุ่นคิดเรื่องนี้หลิงเทียนก็ตื่นเต้นพร้อมกับวิ่งไปยังทางที่เสวี่ยเอ๋อจากไปพร้อมกับตะโกน “ เสวี่ยเอ๋อร์ รอพี่ก่อน ให้เราได้ไปด้วยกัน !  จะในชาตินี้หรือชาติหน้าฉันก็จะยังเป็นพี่ชายของเธอเสมอ ! ”


ทันใดนั้นหลิงเทียนก็เริ่มวิ่ง ในพริบตาเดียวเขาก็หายลับไปจากสายตาของพวกผีที่ลอยอยู่ เข วิ่งมาได้ไกลแล้วแต่กลับไม่พบหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ ในเวลานี้ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกหดหู่และรู้สึกผิดหวัง ด้านหน้าของเขาเป็นสะพานโค้งสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยเมฆหมอกซึ่งก็คือตำหนักโอฆสงสาร ด้านข้างของสะพานมีศาลาหินขนาดใหญ่ ภูติผีต่างจ้องมองมันด้วยความโศกเศร้า มันคือศาลาละห้วงคำนึง  [3]


หลิงเทียนรู้สึงกังวลเพราะเขารู้ว่าถ้าหากเขาเดินผ่านตำหนักโอฆสงสารนี้ไปแล้วเขาก็ต้องดื่มน้ำซุปยายเมิ่งแน่นอน เขาต้องการที่จะหาหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ให้เจอ ยังไงก็ตามตอนนี้เขาจะหันหลังกลับไม่ได้แล้ว


แต่สิ่งที่หลิงเทียนไม่รู้ก็คือเมื่อเขาวิ่งต่อและตะโกนเรียกหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ มีร่างที่ดูอ่อนโยนอยู่ข้างถนนที่เขาเพิ่งจะวิ่งผ่านไป ร่างนั้นคือหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ เมื่อเธอเห็นหลิงเทียนตะโกนเรียกหาเธอ หลิงเสวี่ยเอ๋อร์ก็ต้องการไปหาเขา หยดน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองของเธอ เสวี่ยเอ๋อร์อยากจะตะโกนตอบรับหลิงเทียนแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมา น้ำตาแห่งความสุขยังคงรินไหลออกจากตาทั้งสอง เธอรู้สึกร่าเริงทันที  พี่เทียนยกโทษให้ฉัน พี่เทียนได้ยกโทษให้ฉัน ! ’ ความตื่นเต้นนี้ทำให้เธอไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้และทำได้เพียงปลดปล่อยน้ำตาแห่งความสุขออกมาเท่านั้น เธอไม่เคยคาดหวังว่าปมที่อยู่ในหัวใจของเธอมาหลายปีจะถูกชำระล้างที่สะพานไน่เหอหลังจากเธอตาย !


หลิงเทียนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้จากข้างหลังและเขาจำได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงของหลิงเสวี่ยเอ๋อ ในใจเขาเต็มไปด้วยความยินดี เขาหันหลังกลับมาและต้องการเดินกลับไป แต่เขากลับเหมือนถูกยึดติดอยู่กับพื้นไม่สามารถขยับได้ หลิงเทียนเริ่มกังวล เขาคิดว่าถ้าหากเขาสามารถใช้พลังได้เหมือนกับตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ‘ ฉันอาจจะกลับไปได้ถ้าหากฉันใช้สายฟ้าทะลวงสวรรค์ 


ในขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาลองยกมือมาขึ้นพร้อมกับเริ่มหมุนไปตามจุดโคจรของวิชาสายฟ้าทะลวงสวรรค์ หลิงเทียนรู้สึกได้ถึงกระแสลมจากการไหลเวียนลมปราณในร่างกาย เขาปล่อยกระแสพลังไปด้านหน้าของเขาโดยไม่คิด เหล่าวิญญาณรอบๆตัวกลายเป็นสูญเสียสมดุลในทันทีและสาปแช่งหลิงเทียน


ทันใดนั้นวิญญาณทั้งหมดรอบตัวของเขาได้หายไปเพราะกระแสพลังของหลิงเทียน มันราวกับว่าวิญญาณของพวกมันถูกทำลาย


วิญญาณทั้งหมดช่วยไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เหตุการณ์นี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน มันเกิดขึ้นอยู่ทุกๆปี แต่ไม่มากเท่ากับปีนี้ ไม่ว่าพวกที่ทำลายสมดุลในแต่ละปีจะบ้าแค่ไหนแต่เหล่าวิญญาณก็ไม่เคยถูกทำลายและพวกมันจะไปเกิดใหม่ตามกฏของการเวียนว่ายตายเกิด แต่ตอนนี้ ไอ้บ้าคนนี้กำลังทำลายสมดุลของสะพานไน่เหอ มันส่งผลให้วิญญาณจำนวนมากถูกทำลาย !


ขณะที่หลิงเทียนยังคงปิดตาโคจรพลังอย่างต่อเนื่อง เขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าช้าๆและจมอยู่กับความคิด ‘ นี่มันได้ผล ! ’ เขารู้สึกพอใจอย่างมากและเริ่มเดินต่อ เขาเห็นหลิงเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้เขาพร้อมอ้าแขน ด้วยความสุขหลิงเทียนโคจรพลังอย่างบ้าคลั่ง


รู้สึกราวกับว่าเขาได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว และเขารู้สึกผ่อนคลายมากในตอนนี้ ภายในใจของเขาไม่มีความรู้สึกเคียดแค้นและเศร้าเสียใจอีกต่อไป ในตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่อย่างจะกล่าวทักทายหลิงเสวี่ยเอ๋อร์ หลิงเทียนเปิดตาของเขาออกมาเพื่อมองหน้าของหลิงเสวี่ยเอ๋อร์อีกครั้ง “ พระเจ้า ! นี่มันที่นี่มันที่ไหนวะเนี่ย ? 


…..


 [2] ตำหนักโอฆสงสารเป็นที่ๆวิญญาณของคนตายต้องผ่านบนสะพานไน่เหอเพื่อไปหาเมิ่งผอก่อนจะเข้าประสู่การเวียนวายตายเกิด


[3] ศาลาละห้วงคำนึงเป็นศาลาที่ให้ดวงวิญญาณได้มองเห็นผู้ที่ตนรักในโลกคนเป็นและมันเป็นที่ๆยายเมิ่งอยู่ (เหมือนอ๊อฟฟิศของยายเมิ่ง)


.....





ติดตามข่าวสารได้ที่เพจนี้เลยครับ